วัคซีนไข้เลือดออก

วัคซีนไข้เลือดออก

Dengue Vaccine

วัคซีนไข้เลือดออก

1 เข็ม: 3,000.-

2 เข็ม: 4,777.-


โรคไข้เลือดออกเกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue virus) มียุงลายเป็นพาหะนำโรค พบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่

โรคไข้เลือดออกเกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue virus) มียุงลายเป็นพาหะนำโรค พบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่
1 เข็ม
3,000.-
ฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 3 เดือน
รวมค่าแพทย์และค่าบริการ รพ.
2 เข็ม
4,777.-
ฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 3 เดือน
รวมค่าแพทย์และค่าบริการ รพ.
ประสิทธิภาพของวัคซีน
  • สามารถฉีดได้อายุตั้งแต่ 4 ปี - 60 ปี
  • สามารถฉีดได้ทั้งคนที่เคยเป็น และไม่เคยเป็นโรคไข้เลือดออก
  • ฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 3 เดือน
  • ป้องกันการติดเชื้อไข้เลือดออก 4 สายพันธุ์ 80.2%
  • ลดอัตราการนอนโรงพยาบาลและลดความรุนแรง 90.4%
วันนี้ - 31 ธันวาคม 2567

โปรแกรมและแพ็คเกจ

อาการปวดหลังส่วนล่าง จากการทำงาน

อาการปวดหลังส่วนล่าง จากการทำงาน

อาการปวดหลังส่วนล่าง (Low back pain) คือ อาการปวดกล้ามเนื้อหลังตึงหรือมีอาการหลังแข็ง ตั้งแต่ล่างต่อชายโครงไปจนถึงส่วนล่างของแก้มก้น อาจมีอาการปวดร้าวลงไปที่ขาร่วมด้วย บางรายปวดจนไม่สามารถใช้ชีวิตได้เหมือนปกติ พบได้บ่อยในวัยทำงานและผู้สูงอายุ รวมถึงลักษณะงานที่ทำให้ปวดหลังได้แก่ คนที่ต้องทำงานประเภทแบกหาม ยกของหนักงานที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บเฉียบพลัน เช่น การยกของที่อยู่ในท่าทางที่ไม่เหมาะสม งานที่ก้มๆ เงยๆ หรือบิดเอวเป็นประจำเป็นระยะเวลานาน คนที่ทำงานนั่งโต๊ะหรือนั่งกับพื้นเป็นประจำ เช่น ขับรถ เป็นต้น
อาการปวดหลังสามารถแบ่งตามระยะเวลาได้ 3 ประเภท ได้แก่
  1. อาการปวดหลังแบบเฉียบพลัน (Acute low back pain) คือ อาการปวดหลังอย่างต่อเนื่องน้อยกว่า 6 สัปดาห์
  2. อาการปวดหลังกึ่งเฉียบพลัน (Subacute low back pain) คือ อาการปวดหลังอย่างต่อเนื่องมากกว่า 6 สัปดาห์แต่ไม่เกิน 3 เดือน
  3. อาการปวดหลังเรื้อรัง (Chronic low back pain) คือ อาการปวดหลังอย่างต่อเนื่องมากกว่า 3 เดือน
การบาดเจ็บต่อโครงสร้างและเนื้อเยื่อต่าง ๆ บริเวณบั้นเอวเกิดขึ้นได้ 2 กรณี
  1. การบาดเจ็บที่เกิดจากแรงกระทำที่มากผิดปกติ ต่อโครงสร้างที่ผิดปกติ เช่น จากการถูกรถชน จากการถูกของแข็งมากระแทก
  2. การบาดเจ็บที่เกิดจากแรงกระทำที่ปกติ แต่โครงสร้างที่เริ่มเสื่อมทรุดโทรมหรือโครงสร้างส่วนนั้นยังไม่พร้อมรับแรงกระทำนั้นๆ เช่น กล้ามเนื้อและเอ็นที่ยังไม่ได้รับการอบอุ่นและยืดหยุ่นที่เพียงพอ
แล้วได้รับแรงกระชากทันที มีผลทำให้เกิดการฉีกขาดของกล้ามเนื้อและเอ็นได้ เช่น กรณีของกล้ามเนื้อเอวเคล็ดจากการทำงาน (back strain)
อาการปวดหลังจากการทำงาน
  1. กลุ่มอาการปวดหลังเฉียบพลัน เกิดจากการก้มยกของหรือการบิดเอวที่ผิดจังหวะ จะมีอาการปวดแบบกระจายบริเวณเอวส่วนล่าง หรือบริเวณแก้มก้นอาจร้าวไปบริเวณ ต้นขา แต่ไม่ถึงหัวเข่า และจะปวดมากขึ้นเมื่อเคลื่อนไหว หากได้พักหรือเคลื่อนไหวน้อยลงอาการปวดจะทุเลา
  2. กลุ่มอาการปวดร้าวไปที่ขา มีอาการคล้ายกับกลุ่มแรกแต่มีอาการปวดร้าวบริเวณน่องและปลายเท้า ซึ่งการปวดร้าวขึ้นกับรากประสาทที่เกี่ยวข้องอาการอื่น ๆ ที่สำคัญ ได้แก่ อาการปวดตามแนวรากประสาท ซึ่งแสดงออกโดยผลตรวจด้วยการโยกขาที่เหยียดตรงในขณะที่ผู้ป่วยนอนให้ผลบวก อาจพบการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อ และอาการชาผิวหนังที่เลี้ยงด้วยรากประสาทที่เกี่ยวข้องตลอดจนอาการลดลงของปฏิกิริยา reflex หรืออาจมีอาการผิดปกติด้านการขับถ่ายอุจจาระ และปัสสาวะ ซึ่งเกิดจากการกดทับของรากประสาทกระเบนเหน็บหลายเส้น
  3. กลุ่มอาการปวดล้าบริเวณน่องขณะเดินและผู้ป่วยต้องหยุดเดินหลังจากเดินได้ระยะทางหนึ่ง กลุ่มนี้มักเกิดจากการตีบแคบของโพรงรากประสาท และความเสื่อมของกระดูกสันหลัง
การวินิจฉัยโรค
  1. ประวัติการทำงาน ลักษณะงานหรือท่าทางการทำงานที่มีกิจกรรมซ้ำในท่าเดิมต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน เช่น พนักงานออฟฟิศ นั่งทำงานทั้งวัน ไม่ค่อยขยับร่างกาย หรือ พนักงานที่ยกของหนักเป็นประจำ มีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้เกิดอาการปวดหลัง หรือการใช้ท่าทางในการยกของที่ผิด, อุบัติเหตุจากการทำงาน ไม่ว่าจะเป็น พลัดตกหกล้ม การตกจากที่สูง
  2. การตรวจวินิจฉัยทางรังสี (Radiographic Investigation)
    ผู้ที่มีอาการปวดหลังส่วนล่างไม่มีความจำเป็นที่ต้องรับการตรวจภาพถ่ายทางรังสีทุกราย โดยเฉพาะผู้ที่เพิ่งมีอาการมาไม่นานและไม่รุนแรง ซึ่งภาพถ่ายทางรังสีแต่ละชนิดจะให้ข้อมูลและประโยชน์กับผู้ป่วยปวดหลังส่วนล่างต่างกันไป เช่น

    • Plain radiograph การ x-ray ธรรมดา เป็นขั้นแรกที่ควรส่งตรวจเนื่องจากสะดวกและราคาถูก สามารถให้ข้อมูลได้พอสมควร โดยเฉพาะเกี่ยวกับโครงสร้างของกระดูกสันหลังที่มีลักษณะผิดรูปต่าง ๆ แต่ไม่สามารถดูความผิดปกติของหมอนรองกระดูก เส้นประสาทและเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (Connective tissue)
    • Computerized Tomography (CT Scan) ภาพถ่ายทางรังสีด้วยวิธี CT Scan ใช้ดูโครงสร้างของกระดูกคล้ายกับการดู Plain film แต่มีความละเอียดกว่ามาก และมีการตัดภาพของแต่ละส่วนในระนาบต่าง ๆ ทำให้เห็นพยาธิสภาพของกระดูกได้ชัดเจน อย่างไรก็ตามข้อเสียของ CT Scan คือไม่สามารถดูเนื้อเยื่อเกี่ยวพันรวมถึงหมอนรองกระดูก
    • Resonance Imaging (MRI) การถ่ายภาพกระดูกสันหลังด้วยการ x-ray คลื่นสนามแม่เหล็ก เป็นการส่งตรวจที่ให้ความละเอียดสูงสุดและสามารถให้มุมมองภายในของกระดูกสันหลังในทุกระนาบ สามารถดูได้ทั้งหมอนรองกระดูก กล้ามเนื้อ เส้นประสาท กระดูก น้ำไขสันหลัง รวมทั้งสามารถบอกพยาธิสภาพได้ เช่น มีการอักเสบ หนอง เลือด เป็นต้น ดังนั้นการตรวจ MRI จึงเป็นการตรวจที่ดีที่สุดในการค้นหาความผิดปกติและช่วยวินิจฉัยโรคที่อยู่บริเวณกระดูกสันหลัง
การักษาและฟื้นฟูอาการปวดหลังส่วนล่าง


เมื่อปวดหลังส่วนล่างมีอาการรุนแรงหรือเป็นเรื้อรัง ควรเข้าไปพบแพทย์ เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุ และทำการรักษาต่อไป โดยแพทย์จะเป็นผู้แนะนำทางเลือกที่เหมาะสมกับอาการและข้อจำกัดของคนไข้แต่ละคน เพื่อให้ได้การรักษาที่ตรงจุด สำหรับวิธีการรักษาก็จะมีตั้งแต่การใช้ยา และการรักษาโดยเวชศาสตร์ฟื้นฟู

  1. ยา การใช้ยากลุ่มบรรเทาอาการปวด ยาลดการอักเสบ ยาคลายกล้ามเนื้อ หรือยาลดความปวดเส้นประสาทจะถูกจัดให้ตามความเหมาะสม และตามโรคที่คนไข้เป็น แพทย์จะเป็นผู้กำหนดให้เหมาะสมกับตัวโรคและข้อควรระวังในการใช้ยา
  2. กายภาพบำบัด มุ่งเน้นการดูแลรักษา แก้ไขความเจ็บปวดฟื้นฟูสภาพร่างกายของผู้ป่วยให้กลับมาแข็งแรง ทำให้สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้สะดวกมากขึ้น สำหรับผู้ที่ปวดหลังส่วนล่าง ที่จะออกแบบโปรแกรมให้กับผู้ป่วยแต่ละคนโดยเฉพาะ ซึ่งมีหลายวิธีด้วยกันดังนี้
    • การประคบแผ่นร้อน
    • การลดปวดโดยใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น PMS, High Power Laser, Ultrasound และอื่น ๆ
    • การยืดเหยียดกล้ามเนื้อ
    • Manual technique และการออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหลัง
    • การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ป่วย ปรับท่าทางให้ถูกต้อง
  3. การฉีดยาเข้าโพรงประสาท เพื่อลดการอักเสบของระบบประสาทเส้นนั้น ๆ
  4. การรักษาโดยการผ่าตัด การรักษาอาการปวดหลังส่วนล่างด้วยการผ่าตัดเป็นวิธีการรักษาขั้นสุดท้ายที่แพทย์จะแนะนำ เมื่อการรักษารูปแบบอื่นๆ ไม่ได้ผล
การป้องกัน
ปัญหาปวดหลังส่วนล่าง ส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต ดังนั้น จึงเป็นโรคที่สามารถลดความเสี่ยงและป้องกันได้ เพียงแค่ต้องมีการดูแลตัวเองให้เป็นอย่างดี และเหมาะสม ดังนี้
  • ควบคุมน้ำหนัก
  • ออกกำลังกายให้กล้ามเนื้อหลังและแกนกลางลำตัวแข็งแรง
  • หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่อาจทำให้เกิดอาการบาดเจ็บ เช่น การยกของหนักมากๆ และการยกให้ถูกวิธี
  • ไม่อยู่ในท่าเดิมซ้ำๆ หากต้องนั่งทำงานทั้งวันควรเปลี่ยนท่าทางอิริยาบถทุกๆ 1 ชั่วโมง และหมั่นยืดเหยียดกล้ามเนื้อหลังและขา

โปรแกรมและแพ็คเกจ

ฝังเข็มรักษาโรค

การฝังเข็ม (Acupuncture)


การฝังเข็ม เพือการรักษาโรค เป็นศาสตร์ทางการแพทย์แผนจีน ช่วยในการปรับสมดุลทำให้ลมปราณไหลเวียนดี กระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย กระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารสื่อประสาทที่มีฤทธิ์ระงับปวด รวมถึงช่วยทำให้เลือดไปเลี้ยงบริเวณที่บาดเจ็บได้ดีขึ้น และมีการนํามาใช้ร่วมกับการรักษาแผนปัจจุบัน

ฝังเข็มรักษาโรค

การฝังเข็ม(Acupuncture)
เป็นวิธีการรักษาโรควิธีหนึ่งซึ่งมีต้นกําเนิดมาจากศาสตร์ทางการแพทย์ แผนจีน ทำโดยใช้เข็มแทงผ่านผิวหนังไปตามจุดต่างๆ ของร่างกาย ในตำราแพทย์จีน ระบุไว้ว่า การฝังเข็มสามารถใช้รักษาโรคต่างๆ โดยพื้นฐานของการปรับสมดุลร่างกาย (ปัจจุบันถูกค้นพบว่าสามารถปรับการทำงานของระบบประสาท Sympathetic,Parasympathetic)
การฝังเข็มช่วยปรับสมดุลทำให้ลมปราณไหลเวียนดี และกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย นอกจากนี้การศึกษาของแพทย์แผนปัจจุบันยังพบว่าการฝังเข็มช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารสื่อประสาทที่มีฤทธิ์ระงับปวด รวมถึงช่วยทำให้เลือดไปเลี้ยงบริเวณที่บาดเจ็บได้ดีขึ้น (Dry needle) และมีการนํามาใช้ร่วมกับการรักษาแผนปัจจุบัน (conventional treatment) รักษาโรคต่างๆ เช่น
  • ปวดกล้ามเนื้อและส่วนต่างๆของร่างกาย เช่น ออฟฟิศซินโดรม โรคกระดูกเสื่อม
  • เอ็นข้อศอกอักเสบ (Tennis Elbow) ปลอกเอ็นอักเสบ
  • นิ้วล๊อค (Trigger Finger)
  • ปวดเส้นประสาทใบหน้า
  • ปลายประสาทอักเสบ ปวด ชา แสบ ร้อน ความดันโลหิตสูง
  • ปวดศีรษะเรื้อรัง เช่น ปวดศีรษะจากความเครียด ปวดไมเกรน
  • ปวดตามข้อ ปวดหลัง ปวดคอ ปวดเข่า ปวดจากการเล่นกีฬา
  • ปวดประจำเดือน ประจำเดือนมาผิดปกติ นอนไม่หลับ
  • อาการภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ หวัด
  • อาการนอนไม่หลับ
  • อัมพาตจากหลอดเลือดสมองตีบตันแตก (Stoke)
นอกจากนี้การฝังเข็มยังเป็นผลพลอยได้ในเรื่องการลดน้ำหนัก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสรีระของแต่ละบุคคล
ราคาเริ่มต้น 800 บาท / ครั้ง
รวมค่าแพทย์และค่าบริการ
หมายเหตุ : ค่ารักษานี้ไม่รวมการรักษาด้วยการกระตุ้นไฟฟ้า หรือ การประคบร้อน
วันนี้ - 30 มิถุนายน 2567

โปรแกรมและแพ็คเกจ

โปรแกรม Office Syndrome ออฟฟิศ ซินโดรม

เลือกโปรแกรมที่เหมาะ […]

ฝังเข็มรักษาโรค

การฝังเข็ม (Acupunct […]

โปรแกรมลดปวด 7 ฟรี 1

โปรแกรมลดปวดด้วยเครื […]

โปรแกรมลดปวด 7 ฟรี 1

โปรแกรมลดปวดด้วยเครื่องมือทางกายภาพ : รักษา 7 ครั้ง ฟรี 1 ครั้ง


เพื่อรักษา ฟื้นฟูสุขภาพ ป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำโดยนักกายภาพบำบัด ด้วยเทคนิคและวิธีการทางกายภาพบำบัด รวมถึงแนะนำให้คำปรึกษา เกี่ยวกับอาการปวด การออกกำลังกายและการปฏิบัติตัวในชีวิตประจำวันที่ถูกต้อง และเหมาะสมกับตัวคุณ

โปรแกรมลดปวด ด้วยเครื่องมือทางกายภาพ รักษา 7 ครั้ง ฟรี 1 ครั้ง

Reduce pain with physical tools
การลดอาการปวด
ลดอาการปวด ด้วยเครื่องมือทางกายภาพ เพื่อการรักษา ฟื้นฟูสุขภาพ ป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำโดยนักกายภาพบำบัด ด้วยเทคนิคและวิธีการทางกายภาพบำบัด รวมถึงแนะนำให้คำปรึกษา เกี่ยวกับอาการปวด การออกกำลังกายและการปฏิบัติตัวในชีวิตประจำวันที่ถูกต้อง และเหมาะสมกับตัวคุณ
การใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ทางกายภาพนั้นมีความสำคัญ สามารถฟื้นฟูและส่งเสริมการทำงานของร่างกาย เช่น การทรงตัว การเคลื่อนไหวของอวัยวะต่างๆ ให้กลับมาปกติได้ แต่เครื่องมือและอุปกรณ์ทางกายภาพมีหลายชนิดที่แตกต่างกันออกไป แตกต่างกันทั้งวิธีการใช้และให้ผลการรักษา ดั้งนั้นผู้ป่วยในแต่ละรายจะใช้อุปกรณ์ใด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์และนักกายภาพบำบัด
หมายเหตุ
  • แพ็คเกจนี้ยกเว้นการรักษาด้วย เลเซอร์ และการใช้ Manual Technic
  • โปรแกรมการรักษาขึ้นกับการตรวจประเมินของแพทย์และนักกายภาพบำบัด
  • โปรโมชั่นนี้ ต้องชำระเงินล่วงหน้า 7 ครั้ง เพื่อรับสิทธิ์ฟรี 1 ครั้ง
  • ใช้สิทธิได้ภายใน 3 เดือนหลังชำระเงิน
  • เพื่อประสิทธิผลของการรักษา โปรดมารักษาอย่างต่อเนื่อง
  • แพ็คเกจดังกล่าวไม่สามารถใช้ร่วมกับสิทธิ์และส่วนลดอื่นๆ ได้
  • สำหรับกลุ่มประกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของบริษัทประกัน และการประเมินของแพทย์
  • โรงพยาบาลขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข โดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
วันนี้ - 30 มิถุนายน 2567

โปรแกรมและแพ็คเกจ

โปรแกรม Office Syndrome ออฟฟิศ ซินโดรม

เลือกโปรแกรมที่เหมาะ […]

ฝังเข็มรักษาโรค

การฝังเข็ม (Acupunct […]

โปรแกรมลดปวด 7 ฟรี 1

โปรแกรมลดปวดด้วยเครื […]

ผื่นลมพิษ

ผื่นลมพิษ

Urticaria
ผื่นลมพิษคืออะไร
ผื่นลมพิษเป็นผื่นที่มีลักษณะบวมนูน และ/หรือแดงที่มักมีอาการคัน ผื่นมักหายภายใน 24 ชั่วโมง และไม่ทิ้งรอย ในบางคนอาจมีปากบวม หรือตาบวมร่วมด้วยได้ ผื่นลมพิษที่มีอาการมาไม่เกิน 6 สัปดาห์ จัดเป็นลมพิษแบบเฉียบพลัน และผื่นลมพิษที่มีอาการนานตั้งแต่ 6 สัปดาห์ขึ้นไป จัดเป็นผื่นลมพิษเรื้อรัง
สาเหตุของผื่นลมพิษ
ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยที่เป็นลมพิษมักเกิดขึ้นเองโดยไม่มีสาเหตุ ส่วนหนึ่งเกิดจากปัจจัยทางกายภาพที่กระตุ้น เช่น ความเย็น ความร้อน แสงอาทิตย์ น้ำ หรือการสั่นสะเทือนเป็นต้น ส่วนที่เหลือของลมพิษในผู้ป่วยอาจเกิดจากการติดเชื้อ การแพ้ยาหรือแพ้อาหาร หรือโรคทางระบบภายในต่างๆ
การรักษา
  • การรักษาเบื้องต้นด้วยยาแก้แพ้ทั้งในผู้ที่มีปัจจัยกระตุ้น และไม่มีปัจจัยกระตุ้น
  • หากผื่นลมพิษมีปัจจัยกระตุ้น ควรหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นนั้นๆ
คำแนะนำ
  • ในผู้ป่วยบางรายอาจมีการบวมของเยื่อบุอวัยวะภายในร่วมกับผื่นคัน อันเกิดจากอาการแพ้อย่างรุนแรง เช่น มีผื่นร่วมกับอาการเหนื่อย/หายใจลำบาก แน่นหน้าอก คลื่นไส้อาเจียน หรือหน้ามืด/เวียนศีรษะ ควรรีบไปพบแพทย์
  • หากรับประทานยาแก้แพ้แล้วไม่ดีขึ้น ควรพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้องและหาสาเหตุของผื่นเพิ่มเติม

โปรแกรมและแพ็คเกจ

โปรแกรม ตรวจสุขภาพ S M L

ชุดตรวจสุขภาพ S, M, L


เพื่อให้คุณและครอบครัว มีสุขภาพดีจะซื้อเป็นของขวัญ หรือ ซื้อเพื่อดูแลตัวเอง ก็คุ้ม
- ลดเพิ่ม เมื่อซื้อโปรแกรมตรวจชุดใดก็ได้ วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ 649.- (ปกติ 849.-)

ชุดตรวจสุขภาพ S, M, L

ชุดตรวจสุขภาพที่เหมาะสมในแต่ละช่วงอายุ
ปัจจุบันการดำเนินชีวิตของคนในสังคม ต้องทำงานแข่งกับเวลาอย่างเร่งรีบ และอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีมลภาวะเป็นพิษ จึงมีพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อสุขภาพ เช่น การขาดการออกกำลังกาย การไม่ตระหนักในการรับประทานอาหาร รวมถึงมลภาวะทางจิตใจ ขาดความสมดุลของชีวิต ทำให้เกิดความเคยชิน จนกลายเป็นภัยคุกคามสุขภาพได้
การตรวจสุขภาพประจำปีจึงมีความจำเป็น เพื่อสำรวจว่าระบบต่างๆ ในร่างกายเรามีความผิดปกติ หรือมีความบกพร่องที่อัวยวะใด เพื่อจะได้รักษา ป้องกัน หรือ ผ่อนหนักให้เป็นเบา หากมีการดูแลอย่างดี ตรวจสอบหาข้อบกพร่อง และแก้ไขแต่ระยะต้นๆ ร่างกายก็จะอยู่กับเราได้นานขึ้น และมีคุณภาพชีวิตที่ดี
รายการ
S Care
สำหรับช่วงอายุต่ำกว่า 30 ปี
(20 รายการ)
M Care
สำหรับช่วงอายุ 30 - 40 ปี
L Care
สำหรับช่วงอายุมากกว่า 40 ปี
ชาย
(22 รายการ)
หญิง
(24 รายการ)
ชาย
(33 รายการ)
หญิง
(34 รายการ)
ตรวจร่างกายโดยแพทย์ Physical Examination
ความสมบูรณ์ของเลือด CBC
ตรวจน้ำตาลในเลือด FBS
HbA1C
ตรวจการทำงานของตับ SGPT
SGOT
Alkaline Phosphatase
Bilirubin (Total Bilirubin, Direct Bilirubin)
Total Protein (Albumin, Globulin)
ตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบี HBsAg
ตรวจหาภูมิคุ้มกันไวรัสตับบี HBsAb
ตรวจการทำงานของไตและกรวยไต BUN
Creatinine
eGFR
ตรวจการทำงานของต่อมธัยรอยด์ TSH and Free T4
ตรวจระดับกรดยูริก (โรคเก๊าท์) Uric Acid
ตรวจไขมันในเลือด Cholesterol
Triglyceride
HDL
LDL
ตรวจสารบ่งชี้มะเร็งตับ AFP for Liver Cancer
ตรวจสารบ่งชี้มะเร็งลำไส้ CEA for GI Cancer
ตรวจมะเร็งต่อมลูกหมาก PSA for Prostate Cancer
ตรวจปัสสวะ Urine Examination
ตรวจอุจจาระ Stool Examination with Occult blood
ตรวจความหนาแน่นของมวลกระดูก Bone Density (lumbar, hip)
ตรวจสมรรถภาพการไหลเวียนของระบบเส้นเลือด Ankle Brachial Index (ABI)
ตรวจเอกซเรย์ปอดและหัวใจ Chest X-ray
ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ Electrocardiogram (EKG)
ตรวจหัวใจด้วยการวิ่งสายพานหรืออัลตราซาวด์ Exercise Stress Test or Echocardiogram
ตรวจอัลตราซาวด์อวัยวะช่องท้อง Ultrasound Whole Abdomen
ตรวจมะเร็งปากมดลูก Liquid Pap Smear
ตรวจแมมโมแกรมมะเร็งเต้านมและอัลตราซาวด์ Mammogram and Breast Ultrasound
การหาดัชนีมวลกาย Body Mass Index
อาหาร/สมุดตรวจสุขภาพ Bangpo Snack Bag / Health Check-Up Report
ราคาปกติ 4,490.- 7,940.- 12,450.- 19,510.- 22,270.-
ราคาแพ็คเกจ 2,900.- 5,500.- 8,200.- 13,300.- 15,800.-
ลดเพิ่ม วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ 649.- (ปกติ 849.-)
เมื่อซื้อโปรแกรมตรวจชุดใดก็ได้
กรุณางดน้ำและอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง ก่อนเข้ารับการตรวจสุขภาพ
ความเหมาะสมแต่ละช่วงอายุ
โปรแกรมตรวจสุขภาพ
ความเหมาะสม
S Care
สำหรับผู้ที่มีอายุน้อยกว่า  30 ปี หรือวัยทำงาน
M Care
สำหรับผู้ที่มีอายุระหว่าง 30 - 40 ปี  หรือ วัยทำงานและผู้ใหญ่ที่ต้องการตรวจละเอียดมากขึ้น
L Care
สำหรับผู้ที่มีอายุมากกว่า  40  ปีขึ้นไป หรือผู้ที่เตรียมสู่วัยผู้สูงอายุอย่างมีคุณภาพ

โปรแกรมและแพ็คเกจ

สาระน่ารู้ “อาหารบำบัดภาวะไขมันในเลือดสูง”

สาระน่ารู้ “อาหารบำบัดภาวะไขมันในเลือดสูง”

Knowledge "Food for Dyslipidemia"
ข้อแนะนำในการรับประทานอาหาร ปริมาณคอเลสเตอรอลในอาหารส่วนรับประทานได้
  1. รับประทานอาหารที่มีไขมันหรือน้ำมันน้อย เลือกวิธีการหุงต้มอาหารแบบ ต้ม ตุ๋น นึ่ง อบ ยำ หรือผัดน้ำมันน้อย
  2. ควรใช้น้ำมันพืชชนิดกรดไขมันไม่อิ่มตัว (unsaturated fattyacid) ในการประกอบอาหาร เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง (ในปริมาณวันละ 5-7 ช้อนชา)
  3. เน้นการรับประทานเต้าหู้และเนื้อปลา โดยเฉพาะปลาทะเล เช่น ปลาทู ปลาซาบะ ปลาโอ ปลาทูน่า ปลาแซลมอน จะช่วยในการเพิ่มไขมันดีในเลือด (HDL) และลดระดับไขมันไม่ดีในเลือด (LDL Triglyceride)
  4. รับประทานผักและผลไม้ไม่หวานจัดเป็นประจำทุกมื้อ และให้หลากหลาย (ผักและผลไม้ไม่ควรน้อยกว่า 400 กรัม/วัน)
  5. หลีกเลี่ยงน้ำมันชนิดกรดไขมันอิ่มตัวสูง (saturated fatty acid) เช่น น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว กะทิ น้ำมัน หมู ไก่
  6. หลีกเลี่ยง เนื้อสัตว์ติดมัน ติดหนัง และอาหารไขมันสูง เช่น อาหารทอดต่างๆ ข้าวมันไก่ แกงกะทิ ปลาท่องโก๋ กล้วยแขก ข้าวหาหมู ผัดไท หอยทอด ผัดซีอิ้ว
  7. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีโคเลสเตอรอลสูง เช่น ไข่แดง ปลาหมึก เนื้อสัตว์ติดมันติดหนัง เครื่องในสัตว์ติดมัน ติดหนัง เครื่องในสัตว์
  8. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันทรานซ์สูง (Trans fatty acid) เช่น พาย โดนัท ขนมขบเคี้ยว เนยเทียม มาการีน หรือ หนมเบเกอรรี่ต่างๆ
  9. ควบคุมปริมาณการรับประทานอาหารกลุ่มข้าว-แป้ง และควรรับประทานอาหารมื้อเย็นก่อน 18.00 น (ควบคุมหรือป้องกันภาวะ Triglyceride สูง)
  10. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหวานหรือมีน้ำตาลสูง เช่น ขนมหวานต่างๆ น้ำหวาน น้ำผลไม้ต่างๆ น้ำอัดลม (ควบคุมหรือป้องกันภาวะ Triglyceride สูง)
  11. งดการสูบบุหรี่ แลงดเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอร์ทุกชนิด
  12. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ วันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 5 วัน
  13. ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม (ค่า BMI = 18.5-22.9)
คำนวณ BMI

ตารางแสดงปริมาณโคเลสเตอรอลในอาหารส่วนรับประทานได้ 100 กรัม
ชนิดอาหาร
ปริมาณ(กรัม)
100 g.
โคเลสเตอรอล(มก.)
Cholesterol(mg.)
ประเภทไข่
ไข่ไก่ (ไข่แดง)
6 ฟองใหญ่
1602
ไข่ไก่ (ไข่ขาว)
3 ฟองใหญ่
0
ไข่ไก่ทั้งฟอง
2 ฟองใหญ่
548
ไข่นกทาทั้งฟอง
11 ฟองใหญ่
844
ไข่เป็ดทั้งฟอง
2 ฟองกลาง
884
ไข่ปลา
10 ช้อนชา
374
ประเภทอาหารทะเล
ปลากระพงแดงสุก
8 ช้อนโต๊ะ
45
ปลาเก๋าทะเลสุก
8 ช้อนโต๊ะ
37
ปลาทูสุก
8 ช้อนโต๊ะ
45
ปลาโอสุก
10 ช้อนโต๊ะ
46
ปลากระบอกสุก
8 ช้อนโต๊ะ
60
ปลาหมึกดองสุก
10 ช้อนโต๊ะ
224
ปลาหมึกกล้วยสุก
10 ช้อนโต๊ะ
260
กุ้งสุก
8 ช้อนโต๊ะ
195
เนื้อปูสุก
10 ช้อนโต๊ะ
100
หอยนางรมสุก
4 ตัวขนาดกลาง
100
หอยแครงสุก
15 ตัวขนาดกลาง
67
หอยแมลงภู่สุก
15 ตัวขนาดกลาง
56
หอยเชลล์สุก
7 ตัวขนาดกลาง
61
ประเภท หมู ไก่
เนื้อหมูล้วน
10 ช้อนโต๊ะ
65
เนื้อหมูติดมัน
7 ช้อนโต๊ะ
72
เนื้อหมูติดมัน
10 ช้อนโต๊ะ
93
หมู 3 ชั้น
7 ช้อนโต๊ะ
72
ซี่โครงหมูสุก
10 ช้อนโต๊ะ
121
ตับหมูสุก
10 ช้อนโต๊ะ
355
ไส้หมูสุก
10 ช้อนโต๊ะ
143
กระเพราะหมูสุก
8 ช้อนโต๊ะ
276
ไตหมูสุก
10 ช้อนโต๊ะ
480
ปอดหมูสุก
10 ช้อนโต๊ะ
387
หัวใจหมูสุก
10 ช้อนโต๊ะ
221
หัวใจหมูสุก
10 ช้อนโต๊ะ
2552
แคบหมู
2.5 ถ้วยตวง
95
แคบหมูติดมัน
2.5 ถ้วยตวง
328
เบคอนสุก
10 ช้อนโต๊ะ
85
แฮม
10 ช้อนโต๊ะ
59
กึ๋นไก่
8 ช้อนโต๊ะ
171
เนื้อไก่ล้วนสุก
10 ช้อนโต๊ะ
89
เนื้อไก่ติดหนัง
7 ช้อนโต๊ะ
75
ตับไก่สุก
10 ช้อนโต๊ะ
631

โปรแกรมและแพ็คเกจ

โปรแกรมตรวจสุขภาพ ”สมองและระบบประสาท"
Promotion ชุดตรวจสุขภาพ ลด 20%
โปรแกรมตรวจคัดกรองความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง

การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง(EEG)

การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG)

Electroencephalography
การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมองคืออะไร
การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมองหรือ EEG เป็นการบันทึกสัญญาณไฟฟ้า ซึ่งเกิดจากผลรวมของกระแสไฟฟ้าของกลุ่มเซลล์ในสมอง ผลการตรวจจะปรากฏในรูปแบบกราฟบนแถบกระดาษหรือในจอภาพ (มอนิเตอร์)
ขั้นตอนการตรวจคลื่นไฟฟ้าสมองมีอะไรบ้าง
  1. ผู้ตรวจติดอิเลคโทรดบนหนังศีรษะในตำแหน่งต่าง ๆ
  2. เมื่อเปิดเครื่องตรวจ สัญญาณไฟฟ้าจากสมอง จะปรากฏเป็นเส้นกราฟบนแถบกระดาษหรือจอภาพตลอดเวลาที่ตรวจ
  3. ผู้ป่วยสามารถนอนหลับตาในขณะตรวจบางครั้ง ผู้ตรวจอาจขอให้ลืมตา หลับตา หายใจเข้าออกลึก ๆ คิดคำนวณ หรือ จำคำต่าง ๆ ขณะตรวจ
  4. ระยะเวลาการตรวจนานประมาณ 1 ชั่วโมง หรืออาจนานกว่านี้ ถ้ามีการตรวจพิเศษ
  5. มักมีการถ่ายวิดีโอไปพร้อมกับการบันทึกคลื่นสมองเพื่อวินิจฉัยได้ดีขึ้น
  6. กรณีเด็กเล็กหรือเด็กที่มีปัญหาทางพัฒนาการที่ไม่ให้ความร่วมมือ อาจต้องให้ยานอนหลับ หลังจากนั้นอาจปลุกเด็กให้ตื่น เพื่อตรวจในขณะตื่นด้วย
นอกจากขั้นตอนดังกล่าวแล้วยังมีวิธีกระตุ้นให้ผิดปกติในคลื่นสมองบางชนิดปรากฏชัดเจนมากขึ้นได้แก่
  1. การหายใจลึกนาน 3 – 5 นาที
  2. ใช้แสงไฟกระพริบฉายที่ใบหน้าผู้ป่วย แสงไฟกระพริบนี้ไม่เป็นอันตรายใด ๆ ต่อผู้ป่วย
  3. การอดนอน โดยเข้านอนดึกที่สุดและปลุกให้ตื่นเช้ากว่าปกติ
การเตรียมตัวก่อนมาตรวจคลื่นสมอง
การเตรียมตัวก่อนมาตรวจคลื่นสมองสามารถลดเวลาการตรวจคลื่นสมองและไม่ต้องเสียเวลากลับมาทำซ้ำ การเตรียมตัวทำดังนี้
  1. สระผมให้สะอาด ห้ามใส่น้ำมันหรือครีมใดๆ
  2. ถ้ากินยากันชักอยู่ให้กินต่อไปห้ามหยุดยากันชักเองอย่างกะทันหันเพื่อทำการตรวจ ยกเว้นกรณีแพทย์ระบบประสาทบอกให้หยุด
  3. เด็กเล็กผู้ปกครองควรเตรียมขวดนมหรือน้ำ และของเล่นของเด็กมาด้วย
  4. ในเด็ก ถ้าสามารถทำให้เด็กไม่นอนหลับก่อนมาตรวจเด็กอาจหลับได้ขณะที่ทำการตรวจโดยไม่ต้องให้ยานอนหลับ
การตรวจคลื่นสมองในผู้ป่วยโรคลมชักจะพบความผิดปกติเสมอหรือไม่
ผู้ป่วยโรคลมชักอาจตรวจไม่พบความผิดปกติในการตรวจคลื่นสมองเพียงครั้งเดียว ดังนั้นผลการตรวจที่ปกติไม่ได้หมายความว่าไม่ได้เป็นโรคลมชัก

โปรแกรมและแพ็คเกจ

รู้ไว้ใช่ว่า : ลูกพูดช้าแบบไหนควรไปหาหมอ

รู้ไว้ใช่ว่า : ลูกพูดช้าแบบไหนควรไปหาหมอ

Child's delayed language or speech development
ลูกเป็นแก้วตาดวงใจของพ่อแม่ พัฒนาการของลูกเป็นสิ่งที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ตั้งหน้าตั้งตารอคอย เวลาลูกเรียกหาเราคงจะยิ้มหน้าบานไม่หุบเลย แต่ เอ๊ะ! ทำไมลูกเรายังไม่เรียก “พ่อ” “แม่” ซักที อย่างนี้ผิดปกติรึเปล่านะ? เราไปหาคำตอบกันค่ะว่าลูกพูดช้าแบบไหนต้องรีบใส่ใจพามาหาหมอ
ลูกพูดช้าแบบไหนควรไปหาหมอ ?
ช่วงอายุ
ข้อควรสังเกต
แรกเกิด – 4 เดือน
ไม่ตอบสนองต่อเสียงในช่วงที่เด็กกำลังตื่นดี
อายุ 5 - 7 เดือน
ส่งเสียงน้อย หรือไม่ส่งเสียงอ้อแอ้โต้ตอบกับผู้เลี้ยงดู
อายุ 8 - 12 เดือน
ไม่หันหาเสียง ไม่ทำเลียนเสียงพยัญชนะอื่นนอกจาก “อ”
อายุ 15 เดือน
ไม่พูดคำที่มีความหมายอย่างน้อย 1 คำ
อายุ 18 เดือน
ไม่เข้าใจหรือทำตามคำสั่งอย่างง่าย ไม่พูดคำที่มีความหมาย 3 คำ
อายุ 2 ปี
ไม่พูดคำที่มีความหมายต่างกัน 2 คำต่อเนื่องกัน พูดคำศัพท์ได้รวมน้อยกว่า 50 คำ
อายุ 2 ปีครึ่ง
ไม่พูดเป็นวลียาว 3-4 คำ ยังทำเสียงไม่เป็นภาษา
อายุ 3 ปี
ไม่พูดเป็นประโยคสมบูรณ์ คนอื่นฟังภาษาที่เด็กพูดส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ
อายุ 4 ปี
เล่าเรื่องสั้นๆไม่ได้ คนอื่นยังฟังภาษาที่เด็กพูดได้ไม่เข้าใจเกินร้อยละ 25
ถ้าลูกรักเข้าข่ายเฝ้าระวังข้างต้นแล้วละก็ อย่ารอช้ารีบพามาพบกุมารแพทย์เพื่อได้รับการตรวจพัฒนาการ ตรวจการได้ยิน และกระตุ้นพัฒนาการได้อย่างทันท่วงทีนะคะ
นอกจากนี้คุณพ่อคุณแม่ยังสามารถติดตามดูพัฒนาการทางภาษาและพัฒนาการด้านอื่นๆของลูกด้วยตัวเองได้จากหนังสือคู่มือเฝ้าระวังและส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย (DSPM) ที่ได้รับแจกจากโรงพยาบาล หรือสามารถดาวน์โหลดได้ที่ QR codeนี้เลยค่ะ

โปรแกรมและแพ็คเกจ

โปรแกรมตรวจสุขภาพสำหรับเด็ก

โปรแกรมตรวจสุขภาพสำห […]

วัคซีนปัองกันโรคมือ เท้า ปาก (EV71)

วัคซีนป้องกันโรคมือเ […]

e-Light ฟื้นฟูผิวให้อ่อนเยาว์และยกกระชับใบหน้า

ฟื้นฟูผิวให้อ่อนเยาว์ ยกกระชับใบหน้าและลำคอ ด้วย e-Light

e-Light (Intense Pulse Light combine Radio Frequency)
e-Light เป็นการรักษาผิวพรรณโดยผ่านเทคโนโลยี 2 ชนิด ผสานการทำงานร่วมกัน คือ พลังงานแสง (IPL) และคลื่นวิทยุที่เหนี่ยวนำประจุไฟฟ้า (RF) พร้อมกับ Cooling การปรับอุณหภูมิให้ผิวผ่อนคลาย ให้ทำงานพร้อมๆกัน เพื่อปรับสภาพ ฟื้นฟูผิวพรรณคืนความสดใสอ่อนเยาว์ จากการทำร้ายของแสงแดดและเวลา ทำให้การรักษามีความอ่อนโยน ปลอดภัยต่อผิว ใช้เวลาในการรักษาน้อย (15 นาที) เห็นผลเร็ว สามารถสังเกตเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้หลังการรักษา

ประสิทธิภาพในการทำงาน

1.ฟื้นฟูผิวให้อ่อนเยาว์ (Rejuvenation)
  • แก้ปัญหาริ้วรอยบนใบหน้า ที่เกิดจากความผิดปกติ เช่น รอยแดง(Erythema) ,รอยแดงจากสิว(Rosacea) ,มีเส้นเลือดฝอยผิดปกติ(Telangiectasia)
  • ปรับสีผิวให้เรียบเนียนสม่ำเสมอ สีผิวไม่เรียบ(Poikiloderma)
  • ลบเลือนจุดด่างดำ เช่น มีเม็ดสีคล้ำ(Hyperpigmentation) ,สีผิวไม่สม่ำเสมอ(Dyschromia) ,ผิวตกกระ จากแสงแดด(Lentigines) นอกจากนี้ยังช่วยให้ฝ้าจางลง
  • กระชับรูขุมขน และเพิ่มความยืดหยุ่น ลดริ้วรอย
  • คืนความอ่อนเยาว์ให้กับผิว
2.ยกกระชับใบหน้าและลำคอ (Skin Tightening)
ST Applicator เป็นการนำพลังงานบริสุทธิ์ที่ใช้นั้นคือ การรวมเอาพลังงานอินฟราเรด (IR) และ RF มาผสานเป็นหนึ่งเดียว เพื่อประโยชน์ คือ
  • ยกกระชับใบหน้าและลำคอ(Skin Tightening)
  • สามารถยกกระชับ ร่องแก้ม ถุงใต้ตา คอ หางตา หน้าผาก มือ หน้าท้องลาย
  • สามารถใช้ได้ดีในทุกสีสภาพผิวคนไข้(all skin type)
ข้อดีของ e-Light จากการผสานพลังงานเป็นหนึ่งเดียวในการทำงาน (ELŌS™ Technology)
  • ใช้เวลาในการรักษาน้อย เพราะทำงานไปพร้อมกันทั้ง IPL และ RF
  • ปลอดภัย ลดอาการข้างเคียง (burn) ที่เกิดจาการทำ IPL หรือ RF อย่างเดี่ยวๆ เหมาะสำหรับผิวคนเอเชีย
  • ให้ผลการรักษาที่ดีกว่า การใช้พลังงานเดี่ยวๆ
  • สะดวก ในการรักษาทั้งหมอและคนไข้
ขั้นตอนการทำสะดวกมาก เพียงแค่
  1. ล้างหน้าให้สะอาดหมดจด ปราศจากเครื่องสำอาง
  2. เคลือบผิวด้วย Water Base Gel
  3. ยิงแสงของ e-Light ลงบนผิวหน้า
ขณะรักษาจะได้ความรู้สึกเหมือนถูกดีดเบาๆที่ผิว เมื่อทำเสร็จอาจจะรู้สึกอุ่นๆที่ผิวเล็กน้อย ผิวอาจมีสีชมพู หรือแดงขึ้นนิดหน่อย ถ้าบริเวณที่มีกระหรือจุดด่างดำ สีจะเข้มขึ้น และจะกลายเป็นสะเก็ดบางๆในวันรุ่งขึ้น และลอกออกภายใน 1 สัปดาห์ หลังจากนั้นจุดด่างดำและกระจะจางลงหรือหายไป และไม่ก่อให้เกิดรอยแผลทิ้งไว้เหมือน laser รุ่นเก่าๆ หลังจากทำเสร็จสามารถแต่งหน้าได้ตามปกติ เมื่อทำหลายๆครั้ง จุดด่างดำ กระ และความผิดปกติของสีผิวจะจางลง หน้าดูใสและเนียนขึ้น
ในระยะแรก แนะนำให้ทำติดต่อกันประมาณ 5 ครั้ง ห่างกันทุก 2-4 สัปดาห์
ข้อแนะนำและการดูแลหลังการรักษา
  • หลังการรักษาสามารถแต่งหน้า และปฏิบัติตัวได้ตามปกติ
  • หลีกเลี่ยงการโดนแดดจัด 2 อาทิตย์หลังทำ และควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงกว่า 30
  • ห้ามแกะสะเก็ดที่เกิดขึ้นหลังการรักษา ต้องปล่อยให้หลุดเอง บริเวณหน้า ประมาณ 1 อาทิตย์ ลำตัวประมาณ 2 อาทิตย์
  • หากมีการเข้มขึ้นของเม็ดสีบนผิวหน้า 2-3 วันแล้วไม่จางลง ไม่ต้องตกใจ ให้มารับการรักษาตามปกติ แล้วเม็ดสีที่เข้มขึ้นจะค่อยๆจางลงหรืออาจหายไป
หมายเหตุ
Skin impedence control เป็นระบบควบคุมความปลอดภัยให้กับผิวของคนไข้ เพื่อป้องกัน ความร้อนที่มากเกินไปจากการใช้พลังงานที่สูง โดยเครื่องจะมีระบบวัดและตัดพลังงานโดยอัตโนมัติ จากการตั้งค่า ISL ซึ่ง elōs™ Technology เป็นระบบเดียวที่ทำได้ จึงลดความเสี่ยงในเรื่อง burn อีกทั้งยังเป็นตัว feedback parameter ที่ใช้ ให้กับแพทย์อีกด้วย

โปรแกรมและแพ็คเกจ

มะเร็งเต้านม รู้ก่อน รักษาได้

มะเร็งเต้านม รู้ก่อน รักษาได้

Breast Cancer
มะเร็งเต้านมปัจจุบันพบมากเป็นอันดับหนึ่งในสตรีไทยการตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกๆ และได้รับการรักษาอย่างถูกต้องสามารถมีโอกาสหายขาดได้สูง มะเร็งเต้านมอาจมีอาการได้หลายแบบแตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละคน  ดังนั้นสตรีทั่วไปจึงควรหมั่นคอยสังเกตอาการและตรวจเต้านมตนเองเป็นประจำ เพื่อที่จะได้ตรวจพบมะเร็งเต้านมได้ตั้งแต่ระยะต้นๆ และได้รับการรักษาก่อนที่จะมีการลุกลามหรือกระจายไปยังอวัยวะอื่นแล้วมักมีผลการรักษาที่ไม่ดี
ผู้หญิงที่มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านม

  • ผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป
  • ผู้หญิงที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม
  • ผู้หญิงที่ไม่มีบุตรหรือมีบุตรคนแรกเมื่ออายุมากกว่า 30 ปี
  • ผู้หญิงที่ประจำเดือนมาเร็ว และหมดช้า หรือใช้ฮอร์โมนทดแทนเป็นเวลานานกว่า 10 ปี
  • ตรวจพบมะเร็งเต้านมได้ตั้งแต่ระยะต้นๆ และได้รับการรักษาก่อนที่จะมีการลุกลามหรือกระจายไปยังอวัยวะอื่น
    การรักษาอย่างถูกต้องสามารถมีโอกาสหายขาดได้สูง

อาการผิดปกติของเต้านมที่อาจเกิดจากมะเร็งเต้านม
  • เต้านมโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
    ขนาดของเต้านมที่โตขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะโตขึ้นข้างเดียว อาจเกิดจากการที่มีก้อนเนื้องอกหรือมะเร็งเต้านมที่โตขึ้นอย่างรวดเร็วในเต้านมข้างนั้น ทำให้เต้านมข้างนั้นมีขนาดโตมากกว่าอีกข้างหนึ่ง
  • รูปร่างของเต้านมเปลี่ยนไป
    รูปร่างของเต้านมเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมโดยไม่เคยได้รับการผ่าตัดมาก่อน อาจเกิดจากการที่เคยมีการอักเสบของเต้านมมาก่อนแล้วเกิดการดึงรั้ง เต้านมผิดรูป นอกจากนี้อาจเกิดจากก้อนมะเร็งที่เต้านมทำให้รูปร่างของเต้านมเปลี่ยนแปลงได้
  • มีก้อนที่เต้านม
    การคลำเจอก้อนที่เต้านมเป็นอาการที่พบบ่อยที่สุดของผู้ป่วยมะเร็งเต้านม ดังนั้นจึงแนะนำสตรีทั่วไปหมั่นตรวจเต้านมด้วยตัวเองเสมอ
  • มีรอยบุ๋มที่เต้านม
    การมีรอยบุ๋มที่ผิวหนังเต้านมในผู้ที่ไม่เคยได้รับการผ่าตัดที่เต้านมมาก่อน อาจเกิดจากมะเร็งเต้านมทำให้เกิดการดึงรั้งของเอ็นภายในเต้านมที่ยึดระหว่างผิวหนังกับทรวงอก เกิดเป็นรอยบุ๋มขึ้นที่ผิว
  • การเปลี่ยนแปลงของผิวหนังเต้านม
    การเปลี่ยนแปลงของผิวหนังบริเวณเต้านม เช่น อาการบวมแดง มีแผล อาจพบว่าเกิดจากการมีมะเร็งที่เต้านมลุกลามมาที่ผิวหนังทำให้เกิดการบวมแดงหรือบางครั้งอาจมีแผลร่วมด้วยและเป็นแผลที่รักษาไม่หาย  อาการบวมแดงของเต้านมยังอาจเป็นการแสดงของมะเร็งเต้านมชนิดลุกลามเฉพาะที่ซึ่งจะมีการบวมแดงของผิวหนังเต้านมเป็นบริเวณกว้างหรืออาจมีแผลร่วมด้วยก็ได้
  • มีแผลที่บริเวณหัวนม
    แผลที่เกิดที่บริเวณเต้านมหรือฐานหัวนมหรือฐานหัวนมนั้นอาจมีสาเหตุจากมะเร็งเต้านมชนิดหนึ่งเรียกว่า Paget disease of the nipple โดยจะเป็นแผลสีแดงที่บริเวณหัวนม
  • หัวนมบุ๋มเข้าไปในเต้านม
    การมีหัวนมที่บุ๋มเข้าไปในเต้านมโดยที่ไม่ได้เป็นมาตั้งแต่กำเนิดและไม่เคยได้รับการผ่าตัดที่เต้านมมาก่อน อาจมีสาเหตุมาจากมะเร็งเต้านมที่ลุกลามไปยังหัวนมและทำให้เกิดการดึงรั้งจนหัวนมบุ๋มลงไปได้ ซึ่งมักเกิดจากมะเร็งบริเวณใกล้กับหัวนม
  • การมีน้ำออกทางหัวนม
    อาการมีน้ำหรือน้ำนมออกทางหัวนมในผู้ที่ไม่ได้ให้นมบุตร อาจเป็นอาการหนึ่งของมะเร็งเต้านม ซึ่งมักสัมพันธ์กับความผิดปกติของท่อน้ำนมร่วมด้วย โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการเรื้อรังเป็นๆ หายๆ ลักษณะน้ำอาจเป็นสีเหลืองใสหรือเป็นน้ำปนเลือด
  • คลำพบก้อนที่บริเวณที่รักแร้
    นอกจากอาการที่เต้านมแล้ว ในบางครั้งมะเร็งเต้านมอาจตรวจไม่พบก้อนที่เต้านม แต่มีต่อมน้ำเหลืองโตที่รักแร้และคลำพบได้ ซึ่งเกิดจากมะเร็งเต้านมกระจายไป
  • อาการเจ็บเต้านม
    อาการเจ็บเต้านมในบางครั้งอาจสัมพันธ์หรือไม่สัมพันธ์กับรอบเดือน ในช่วงใกล้มีประจำเดือนหรืออาจเกิดจากการอักเสบติดเชื้อที่เต้านม แต่ในบางกรณีอาจพบว่าเป็นอาการของมะเร็งเต้านมและอาจพบก้อนที่เต้านมร่วมด้วย โดยมักเจ็บที่บริเวณก้อนที่พบ
ผู้ที่มีอาการต่างๆ ดังกล่าวข้างต้นอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านม จึงแนะนำว่าควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อทำการตรวจหาสาเหตุและรับการรักษาที่เหมาะสม

โปรแกรมและแพ็คเกจ

โปรแกรมตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม

การผ่าฟันคุด

การผ่าฟันคุด

Impacted Tooth
ฟันคุด (Impacted Tooth) หมายถึง ฟันที่ไม่สามารถขึ้นมาในช่องปากได้ตามปกติ เนื่องจากกระดูกหรือเหงือกที่ปกคลุมหนามาก หรือ ถูกขัดขวางจากฟันข้างเคียง ฟันคุดที่พบได้บ่อย ได้แก่ ฟันเขี้ยวบน ฟันกรามน้อยล่างและฟันกรามใหญ่ซี่ที่สาม ซึ่งเป็นตำแหน่งที่พบฟันคุดได้บ่อยที่สุด เนื่องจากเป็นฟันที่จะโผล่ขึ้นในช่องปากเป็นลำดับสุดท้าย
เมื่อทันตแพทย์ตรวจและวินิจฉัยพบว่าผู้ป่วยมีฟันคุดควรรีบผ่าฟันคุดออก ทั้งนี้ก็เพราะว่า ขณะที่ผู้ป่วยยังมีอายุน้อย (16-21ปี) ร่างกายจะแข็งแรงไม่มีโรคทางระบบใดๆกระดูกที่ปกคลุมตัวฟันยังไม่แข็งมากนักจึงจะง่ายต่อการกรอกระดูกและตัดฟัน (ในรายที่จำเป็น) มีการซ่อมแซมบาดแผลได้ดีกระดูกสร้างตัวได้เร็วแผลผ่าตัดจึงหายได้เร็ว ภาวะแทรกซ้อนน้อยและผลเสียที่จะเกิดกับเนื้อเยื่อปริทันต์ของฟันกรามซี่ที่อยู่ข้างเคียงน้อย
เหตุใดจึงควรผ่าฟันคุด
  1. เพื่อป้องกันการอักเสบของเหงือกที่ปกคลุมฟัน
  2. เพื่อป้องกันฟันข้างเคียงผุ หรือเกิดโรคปริทันต์
  3. เพื่อป้องกันการเกิดถุงน้ำ และเนื้องอกบริเวณขากรรไกร
  4. เพื่อป้องกันการเกิดฟันซ้อนเกหลังการจัดฟัน
สิ่งที่ควรทราบก่อนการตัดสินใจผ่าฟันคุด
ในการผ่าฟันคุดทุกครั้งจำเป็นต้องมีภาพถ่ายรังสี เพื่อประเมินแนวการวางตัวของฟันและรากฟัน พยาธิสภาพและลักษณะของกระดูกที่รองรับฟัน รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างฟันและเนื้อเยื่อที่สำคัญข้างเคียง เช่น เส้นประสาท เส้นเลือด
ไซนัส ฟันข้างเคียง เป็นต้น
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้จากการผ่าตัด
  • เลือดออกผิดปกติ
  • การเกิดอันตรายต่อเส้นประสาทซึ่งจะส่งผลให้เกิดอาการชาบริเวณคาง/ริมฝีปาก/ลิ้น (1-6เดือน) ขึ้นกับความสัมพันธ์ของรากฟันและเส้นประสาทของแต่ละบุคคล
  • แผลอักเสบติดเชื้อ-บวม
  • อ้าปากได้น้อยกว่าปกติ
  • การเกิดการเชื่อมต่อของช่องปากและไซนัส
ข้อปฎิบัติหลังการผ่าตัดฟันคุด
  1. กัดผ้าก๊อซให้แน่นบริเวณที่ถูกผ่าตัด ประมาณ 1-2 ชม. ถ้ามีเลือดหรือน้ำลายซึมออกมาให้กลืน
  2. คายผ้าก๊อซออกหลังจากผ่าตัดไปแล้วอย่างน้อย 1ชม. หากยังพบเลือดซึมออกมาให้กัดผ้าก๊อซใหม่ต่ออีกครั้งละ ประมาณ ½ -1 ชม.
  3. หลีกเลี่ยงการบ้วนน้ำลาย บ้วนน้ำ ตลอดวัน ที่ผ่าตัด
  4. ไม่ดูดแผล และ ใช้ลิ้นดุนบริเวณแผล เพราะจะทำให้เลือดซึมออกมาได้อีกครั้ง
  5. รับประทานยาตามคำแนะนำของทันตแพทย์อย่างเคร่งครัด
  6. ช่วงสัปดาห์แรกหลังการผ่าตัด ควรรับประทานอาหารอ่อนหรือเหลว และหลีกเลี่ยงอาหารร้อนจัด/เย็นจัด
  7. มาตามนัดตัดไหมประมาณ 7-10 วัน หลังการผ่าตัด
  8. หากมีอาการผิดปกติใดๆ ควรกลับมาปรึกษาทันตแพทย์

โปรแกรมและแพ็คเกจ