โรคตาแห้ง “โรคตายอดฮิตของคนหน้าคอมฯ”

โรคตาแห้ง "โรคตายอดฮิตของคนหน้าคอมฯ"

Dry eye
โรคตาแห้ง "โรคตายอดฮิตของคนหน้าคอมฯ"
จากสภาวะการใช้ชีวิตของคนทำงานยุคปัจจุบัน ที่ใช้คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต มือถือ รวมถึงการใส่คอนแทคเลนส์ในการทำงานประจำวัน และต้องเจอสภาพอากาศแห้ง แปรเปลี่ยนไปมาอย่างรวดเร็ว ทั้งการปะทะลมหรือแสงแดดเป็นประจำ รวมถึงการนอนพักผ่อนไม่เพียงพอ อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดผลกระทบจนเกิดอาการตาแห้ง
สาเหตุของโรคตาแห้ง
โรคตาแห้ง สามารถแบ่งสาเหตุได้ดังนี้ คือ
  1. การผลิตน้ำตาลดลง สาเหตุมาจากอายุที่มากขึ้น เกิดการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกายหรือภาวะความเจ็บป่วยบางอย่าง เช่น โรคภูมิแพ้ที่ตา โรคโชเกร็น (Sjogren's syndrome) โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis) โรคลูปัส (Systemic Lupus Erythematosus: SLE) โรคของต่อมไทรอยด์ การขาดวิตามิน การใช้ยาบางประเภท เช่น ยาลดความดันโลหิต ยารักษาสิว ยาคุมกำเนิด ยารักษาโรคพาร์กินสัน หลังผ่าตัดดวงตา เช่น หลังการผ่าตัดต้อกระจก หรือหลังทำ เลสิก การใส่คอนแทคเลนส์เป็นเวลานาน หรือเคยทำเลสิก
  2. น้ำตาเกิดการระเหยไว จากต่อมไขมันที่เปลือกตาทำงานผิดปกติ(Meibomian gland dysfunction: MGD)โดยปกติต่อมไมโบเมียนจะทำหน้าที่สร้างน้ำตาชั้นไขมัน ทำให้น้ำตาระเหยได้ช้า หากต่อมนี้ทำงานผิดปกติ จะทำให้น้ำตาระเหยไวขึ้น จะเกิดภาวะตาแห้งในที่สุด รวมถึงการใช้สายตาระยะใกล้ ทั้งทำงานนั่งจอคอมพิวเตอร์เวลานานหรือการอ่านหนังสือต่อเนื่อง
  3. ปัจจัยภายในตัวบุคคล เช่น

    • เพศ โดยพบว่าเพศหญิงเป็นมากกว่าเพศชาย
    • อายุ ที่พบว่าเมื่อเข้าสู่อายุ 65 ปีขึ้นไป มีอัตราการเกิดโรคตาแห้งสูงกว่าวัยอื่น
อาการ
ผู้ป่วยจะรู้สึกระคายเคืองตา เหมือนมีเศษผงอยู่ในดวงตา แสบตาง่าย โดยเฉพาะเมื่อมีลมพัดเข้าสู่ดวงตา หรือเมื่ออยู่ในห้องแอร์ จะรู้สึกได้ว่า ดวงตาแห้งอยู่ตลอด
วิธีป้องกันโรคตาแห้ง
สำหรับคนที่ทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ ควรพักสายตาทุก 1-2 ชั่วโมง พักประมาณ 5 นาที โดยการหลับตาหรือมองไปที่ไกลๆ เพิ่มเติมด้วยการติดแผ่นกรองแสงที่หน้าจอ หรือสวมแว่นตา ที่ช่วยลดแสงสีฟ้า ช่วยถนอมสายตา
การตรวจวิเคราะห์
  1. แพทย์จะตรวจวัดปริมาณน้ำตาโดยการตรวจ Tear Meniscus ตรวจลักษณะขอบเปลือกตา และต่อมมัยโบเมียน (Meibomian gland) เพื่อการวัดความเข้มข้นของสารที่อยู่ในน้ำตา
  2. การค้นหาสาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงของโรค เพื่อการควบคุมอาการของโรคทำให้การรักษาประสบความสำเร็จสูงขึ้นได้ เช่น

    • พักสายตาเป็นช่วงๆ โดยหลับตา 1-2 นาที หรือกระพริบตาถี่ๆ เพื่อช่วยกระจายน้ำตาให้เคลือบทั่วดวงตา
    • หยอดน้ำตาเทียมเป็นประจำ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ดวงตา หลีกเลี่ยงการโดนลมแรงๆ ปะทะดวงตาโดยตรง เช่น ลมจากพัดลม เครื่องปรับอากาศ ที่เป่าผม ควรสวมแว่นกันแดดหรือแว่นที่ครอบดวงตา
    • หากต้องอยู่ในบริเวณที่มีอากาศแห้ง ควรหลับตาเป็นพักๆ เพื่อลดการระเหยของน้ำตา
    • ดื่มน้ำให้มาก รับประทานอาหารที่มีปริมาณวิตามินเอสูง เช่น น้ำมันตับปลา เครื่องในสัตว์ ไข่แดง แครอท บรอคโคลี่ ฟักทอง หรือกรดไขมันโอเมก้า3สูง เช่น ปลาทะเลน้ำลึก เมล็ดแฟลกซ์ วอลนัท น้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำข้าว เพื่อช่วยดูแลและบำรุงสายตา
การรักษา
  1. แพทย์จะช่วยให้คำปรึกษา ปรับพฤติกรรมการใช้สายตาให้เหมาะสม ร่วมกันการใช้น้ำตาเทียมหยอดตา
  2. ใช้แว่นกอกเกิลส์ เพื่อป้องกันการระเหยของน้ำตาร่วมด้วย โดยเฉพาะในผู้ที่อยู่กับลมแรง เช่น คนที่ทำงานขับขี่มอเตอร์ไซด์
  3. หากรู้สึกมีความผิดปกติที่ตา มีอาการแสบตา ตาแห้ง รู้สึกไม่สบายตา น้ำตาไหล ระคายเคืองตา มีเมือกในตา หรือตาพร่ามัว ให้สงสัยว่าอาจมีภาวะตาแห้ง แนะนำให้ลองปฏิบัติตัวตามคำแนะนำเบื้องตน
  4. หากมีอาการที่รุนแรงแนะนำให้พบจักษุแพทย์ เพื่อเข้ารับการรักษาและการตรวจวินิจฉัยอย่างปลอดภัย

โรคอหิวาตกโรค (Cholera)

โรคอหิวาตกโรค (Cholera)

Cholera
โรคอหิวาตกโรค
Cholera
หลังจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้การระบาดของโรคอหิวาตกโรคเป็น "ภาวะฉุกเฉินครั้งใหญ่" และพบผู้ป่วยในหลายประเทศเพิ่มขึ้น ประเทศไทยได้เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ดังกล่าวมาโดยตลอด
สถานการณ์ปัจจุบันในประเทศไทย
พบผู้ป่วย 4 คนตั้งแต่เดือน ธ.ค.2567 ในพื้นที่ จ.ตาก เป็นชาวต่างชาติ 2 คน คนไทย 2 คน และมีผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการอีก 3 คน (ต่างชาติ 2 คน คนไทย 1 คน) ทั้งหมดได้รับการรักษาจนหายดีแล้ว และไม่มีผู้เสียชีวิต
กระทรวงสาธารณสุข ได้ดำเนินมาตรการเฝ้าระวังและควบคุมโรคอย่างเข้มงวด ทำให้สามารถควบคุมสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี เน้นการป้องกัน เนื่องจากโรคอหิวาตกโรคแพร่กระจายได้ง่าย ผ่านการบริโภคอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อน
จึงต้องเน้นย้ำให้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการป้องกันอย่างเคร่งครัด เช่น กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ และเลือกบริโภคอาหารที่ปรุงสุกใหม่
อาการ
ผู้ป่วย จะถ่ายเป็นน้ำจำนวนมาก มีเนื้ออุจจาระน้อย เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันร่วมกับมีอาการและอาการแสดงของการขาดน้ำอย่างรวดเร็วและรุนแรง อาจมีคลื่นไส้ อาเจียน ส่วนใหญ่ไม่มีไข้ ไม่ปวดท้อง
ในรายที่มีอาการรุนแรงและไม่ได้รับการรักษาผู้ป่วยอาจตายในเวลา 2-3 ชั่วโมง และอัตราป่วยตายสูงมากกว่าร้อยละ 50 แต่ถ้าได้รับการรักษาถูกต้องและทันท่วงที อัตราป่วยตายจะลดลงเหลือต่ำกว่าร้อยละ 1
การควบคุม
  1. จัดให้มีการสุขาภิบาลในเรื่องการทำลายอุจจาระและการป้องกันแมลงวัน จัดที่สำหรับล้างมือในกรณีที่ไม่มีส้วม ควรกำจัดอุจจาระด้วยการฝัง และที่ฝังจะต้องห่างจากแหล่งน้ำดื่มน้ำดื่มควรต้มหรือใส่คลอรีน น้ำใช้ควรได้จากแหล่งที่สะอาด
  2. ควบคุมแมลงวันโดยใช้มุ้งลวด พ่นยาฆ่าแมลง หรือใช้กับดัก ควบคุมการขยายพันธุ์ด้วยการเก็บและทำลายขยะโดยวิธีที่เหมาะสม
  3. ระมัดระวังเรื่องความสะอาดของอาหาร ควรเลือกรับประทานอาหารที่ปรุงใหม่หรือแน่ใจว่าสะอาด การล้างมือก่อนรับประทานอาหาร
  4. นมหรือผลิตภัณฑ์นมควรผ่านการพาสเจอร์ไรซ์ หรือการต้มก่อน ให้คำแนะนำเรื่องการควบคุมการผลิต การเก็บรักษา และการจัดจำหน่ายให้ถูกสุขลักษณะ
  5. ควบคุมการผลิตอาหาร และเครื่องดื่มให้เหมาะสม ให้ใช้น้ำผสมคลอรีนในงานผลิตอาหารและเครื่องดื่ม
  6. ผู้ที่ต้องเดินทางไปยังท้องที่ ซึ่งมีความเสี่ยงในการติดโรคสูงอาจกินยาปฏิชีวนะ จะช่วยป้อง กันโรคได้ สำหรับระยะเวลาสั้นๆ เช่น ภายใน 2 สัปดาห์แต่เชื้ออาจดื้อยาได้
  7. การให้วัคซีนป้องกันโรคอหิวาตกโรคในขณะที่มีการระบาดปัจจุบันไม่แนะนำให้ใช้แล้วเพราะสามารถป้องกันได้เพียงร้อยละ 50 และมีอายุสั้นเพียง 3-6 เดือน สำหรับวัคซีนชนิดกินที่ให้ภูมิคุ้มกันสูงต่อเชื้ออหิวาต์สายพันธุ์ o1 ได้หลายเดือนมีใช้แล้วหลายประเทศ มีสองชนิด ชนิดแรกวัคซีนเชื้อยังมีชีวิตกินครั้งเดียว (สายพันธุ์ CVD 103-HgR) ส่วนชนิดที่สองเป็นเชื้อตายแล้วประกอบด้วยเชื้ออหิวาห์ตายแล้วกับ cholera toxin ชนิด B-subunit กิน 2 ครั้ง
  8. การป้องกันการระบาดในสถานเลี้ยงเด็กเล็ก โดยรักษาความสะอาดสถานที่ข้าวของเครื่องใช้ เจ้าหน้าที่ล้างมืออย่างสม่ำเสมอ แยกผู้ป่วยที่มีอาการอุจจาระร่วงและเพาะเชื้อหาสาเหตุของการป่วย
  9. มาตรการควบคุมการเคลื่อนย้ายประชากร อาหาร และสินค้าอื่นๆ ไม่นิยมทำนอกจากมีข้อ บ่งชี้ชัดเจน
การป้องกันโรค
  • กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ
  • เป็นวิธีป้องกันโรคที่ง่ายที่สุดและมีประสิทธิภาพสูงสุด
  • เลือกบริโภคอาหารที่ปรุงสุกใหม่ หลีกเลี่ยงอาหารดิบหรือสุก ๆ ดิบ ๆ
  • ดื่มน้ำสะอาดที่ผ่านการต้มหรือน้ำบรรจุขวดรักษาความสะอาด
  • ล้างมือบ่อย ๆ โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหารและหลังเข้าห้องน้ำ
  • หากมีอาการผิดปกติควรปรึกษาแพทย์ทันที

ฝุ่น PM2.5 ภัยอันตรายอาจจะกลายเป็น “มะเร็งปอด”

ฝุ่น PM2.5 ภัยอันตรายอาจจะกลายเป็น “มะเร็งปอด”

ฝุ่น PM2.5 ภัยอันตรายอาจจะกลายเป็น “มะเร็งปอด”
สัปดาห์ที่ผ่านมา ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากฝุ่น PM2.5 ที่มีระดับพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในทุกพื้นที่ ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ตา และผิวหนัง เมื่อเจอกับสถานการณ์ฝุ่นแบบนี้ เพื่อป้องกันอันตรายต่อสุขภาพ
เราจะมาคุยกับคุณหมอ...เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมรับมือกับสถานการณ์ฝุ่นตัวร้ายอย่างถูกต้อง และปลอดภัย
รู้จัก PM 2.5
PM 2.5 มาจากคำว่า Particulate matter ซึ่งคือ ฝุ่นที่มีขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน หรือขนาดประมาณ 1 ใน 25ของเส้นผ่าศูนย์กลางของเส้นผม เมื่อเราหายใจเอาฝุ่นเหล่านี้เข้าไป จะสามารถหลุดรอดการกรองจากจมูก และผ่านลงไปในถุงลมปอด เข้าสู่ระบบไหลเวียนโลหิตได้ ซึ่งส่งผลให้เกิดการอักเสบของระบบทางเดินหายใจ ระบบไหลเวียนโลหิต รวมถึงอวัยวะอื่นๆ นอกจากนี้มักพบสารก่อมะเร็งและโลหะหนักที่เป็นอันตรายเกาะอยู่ด้วย
ฝุ่นละอองทำให้เกิดโรคอะไรได้บ้าง ?
เราสามารถพบผู้ป่วยที่มีอาการดังต่อไปนี้
  • ไอ, จาม, มีน้ำมูก, เจ็บคอ, มีเสมหะ ภูมิแพ้, ไซนัส, หายใจลำบาก, เจ็บหน้าอก
  • หลอดลมอักเสบ, หายใจมีเสียงดังอึด ๆ, ปอดอักเสบเกิดพังผืด, โรคถุงลมโป่งพอง
  • โรคมะเร็งระบบทางเดินหายใจ และ มะเร็งปอด
กลุ่มเสี่ยงและกลุ่มผู้ป่วย
  • ผู้สูงอายุ
  • เด็กเล็ก
  • ผู้ที่ใช้คอนแทคเลนส์
  • ผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับปอด และระบบทางเดินหายใจ
อาการและผลกระทบ
ระยะสั้น :
ทำให้ระคายเคืองตา ตาแดง คัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ อาการภูมิแพ้และหอบหืดกำเริบ ทำให้ปอดอักเสบติดเชื้อง่ายขึ้น ผิวหนังอักเสบมีผื่นคันที่ผิวหนัง
ระยะยาว :
การทำงานของปอดแย่ลง เสี่ยงต่อโรคระบบทางเดินหายใจ โรคหัวใจ และ โรคหลอดเลือดสมอง เพิ่มความเสี่ยงการเกิดมะเร็งปอด ผิวหนังเหี่ยวย่นก่อนวัย
การป้องกันวิธีการรับมือกับ ฝุ่นละอองขนาดเล็ก ทางราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ฯ ร่วมกับ 5 สมาคมวิชาชีพเวชกรรม ออกคำแนะนำการปฎิบัติตัวของประชาชนในช่วงวิกฤตฝุ่น PM2.5
  1. หมั่นตรวจสอบคุณภาพอากาศจากแหล่งข้อมูลของรัฐและเอกชนอย่างสม่ำเสมอ หรือใช้เครื่องวัดปริมาณฝุ่นแบบพกพา เพื่อวางแผนกิจวัตร ประจำวันให้เหมาะสมและให้หลีกเลี่ยงการสัมผัส สูด PM2.5 โดยการจัดให้มีพื้นที่ปลอดภัย (safety zone)
  2. เมื่อค่า PM2.5 ในขณะนั้น (ค่ารายชั่วโมง) ขึ้นสูงเกินเกณฑ์ คือ
    • สูงกว่า 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร กลุ่มเสี่ยงควรงดทำกิจกรรมกลางแจ้ง บุคคลทั่วไปควรลดและปรับเวลาทำกิจกรรมกลางแจ้ง โดยใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา
    • สูงกว่า 100 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ทุกคนควรงดทำกิจกรรมกลางแจ้ง ยกเว้นผู้ที่ต้องทำหน้าที่บริการสาธารณะกลางแจ้งให้ใส่หน้ากาก N95 ตลอดเวลา
    • สูงกว่า 150 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ทุกคนควรอยู่ในตัวอาคารซึ่งติดตั้งระบบระบายและฟอกอากาศที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ยกเว้นผู้ที่ต้องทำหน้าที่บริการสาธารณะกลางแจ้ง ให้ใส่หน้ากาก N95 ตลอดเวลา และจำกัดช่วงเวลาปฏิบัติงาน ไม่ให้เกินครั้งละ 60 นาที
  3. ขณะที่ปริมาณฝุ่นภายนอกขึ้นสูง ภายในตัวอาคารควรจัดให้มีระบบระบายและฟอกอากาศที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ
  4. การออกกำลังกายสม่ำเสมอ จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงลดโอกาสเจ็บป่วย แต่ขณะที่ปริมาณฝุ่นขึ้นสูงควรหลีกเลี่ยงหรือลดเวลาการออกกำลังกายกลางแจ้ง ตามระดับเตือนภัยในข้อ 2 หรือออกกําลังกายในร่มที่มีระบบระบายและฟอกอากาศที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ
  5. ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ จะช่วยเร่งการขับฝุ่น PM2.5 ที่เล็ดลอดเข้ากระแสเลือด ออกไปทางไตในรูปของปัสสาวะได้มากขึ้น
  6. การอยู่ในบริเวณที่มีต้นไม้ใบเขียว จะช่วยการดูดซับฝุ่นในอากาศได้เพิ่มมากขึ้น

พิกัดที่เที่ยววันเด็ก 2568

วันเด็กแห่งชาติ - วันเสาร์ที่ 11 มกราคม 2568
วันเด็กปีนี้ตรงกับวันที่ 11 มกราคม 2568 ถือเป็นโอกาสที่ดีในการพาครอบครัวไปเที่ยวเด็กๆ จะได้สนุกสนานและเรียนรู้ไปพร้อมกัน โดยมีหลายสถานที่สำหรับการเที่ยวในวันเด็ก แล้วมีที่ไหนบ้างนะที่จัดกิจกรรมมาดูกัน
null
งานฉลองวันเด็กแห่งชาติ ณ ทำเนียบรัฐบาล ประจำปี 2568
งานฉลองวันเด็กแห่งชาติ ณ ทำเนียบรัฐบาล ประจำปี 2568
ชวนเที่ยวงานวันเด็กแห่งชาติ 2568 วันเสาร์ที่ 11 มกราคม เวลา 08.00-15.30 น. ณ ทำเนียบรัฐบาล เขตดุสิต กรุงเทพฯ
น้องๆ จะได้นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมตึกไทยคู่ฟ้า ห้องทำงานนายกฯ ได้ลองอ่านข่าวสวมบทบาท “โฆษกรัฐบาล... นิวส์จิ๋ว” ณ ศูนย์แถลงข่าวนารีสโมสรและกิจกรรมแสนสนุก พร้อมของรางวัลมากมาย
งานวันเด็กแห่งชาติ กองทัพอากาศ
งานวันเด็กแห่งชาติ กองทัพอากาศ
ชวนเที่ยวงานวันเด็กแห่งชาติ 2568 วันเสาร์ที่ 11 มกราคม เวลา 07.00-15.00 น. ณ ฝูงบิน 601 กองบิน 6 พิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศและการบินแห่งชาติ สนามบินเล็กทุ่งสีกันและกองบินต่างจังหวัดทั่วประเทศ
ภายในงานจะได้ตื่นตาตื่นใจกับการแสดงการบิน การแสดงยุทโธปกรณ์ทางทหาร และกิจกรรมต่างๆ บนเวที
รายละเอียดเพิ่มเติม : งานวันเด็กแห่งชาติ กองทัพอากาศ
null
Into the Spaceship
Into the Spaceship
ชวนเที่ยวงานวันเด็กแห่งชาติ 2568 วันเสาร์ที่ 11 มกราคม เวลา 08.00-16.00 น. ณ พิพิธภัณฑ์เด็กกรุงเทพมหานครแห่งที่ 1 (จตุจักร)
ร่วมกิจกรรมวันเด็กแห่งชาติ ในธีม "Into the Spaceship" ที่จะพาน้อง ๆ เรียนรู้เรื่องราวน่าทึ่งเกี่ยวกับ "อวกาศ" ที่ใครๆ ก็เข้าถึงได้ พร้อมกับกิจกรรม "Workshop" สุดสร้างสรรค์ ที่จะจุดประกายความรู้และจินตนาการของน้อง ๆ
รายละเอียดเพิ่มเติม : กิจกรรม "Into the Spaceship"
null
วันเด็กแห่งชาติ ณ กรมประชาสัมพันธ์
วันเด็กแห่งชาติ ณ กรมประชาสัมพันธ์
ชวนเที่ยวงานวันเด็กแห่งชาติ 2568 วันเสาร์ที่ 11 มกราคม ตั้งแต่เวลา 08.00 น. เป็นต้นไป ณ กรมประชาสัมพันธ์ ซอยอารีย์สัมพันธ์ ภายในงานพบกับกิจกรรมต่าง ๆ เช่น
  • ร่วมสนุกกับเกมและกิจกรรมชิงของรางวัลภายในงาน
  • ลงทะเบียนรับของรางวัล, หนูน้อยศิลปะ, ค้นหา RC, เกมงานวัด, หลุมรางวัล, โยนห่วง, ตะกร้าจุ่มรางวัล ฯลฯ
  • กิจกรรมการประกวดและการแข่งขัน
  • กิจกรรมร้องเพลง, หนูน้อยอ่านข่าว ภาษาไทย-ภาษาอังกฤษ
  • กิจกรรมความรู้จากหน่วยงานต่างๆ
  • กิจกรรมหนูน้อยจราจร, สาธิตการทำหัวโขนและหุ่นยนต์, ความรู้เรื่องสิ่งแวดล้อม, ความรู้เรื่องอุบัติภัย
  • กิจกรรม Solf Power ปั้นลูกชุบ, ชกมวย
null
CRA WonderHealth
CRA WonderHealth ผจญภัยในดินแดนสุขภาพราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์
ชวนเที่ยวงานวันเด็กแห่งชาติ 2568 วันเสาร์ที่ 11 มกราคม เวลา 08.00-14.00 น. ณ ห้องประชุม Convention Hall ชั้น 6 อาคารโรงพยาบาลจุฬาภรณ์
ร่วมผจญภัยในโลกสุขภาพไปกับกิจกรรมแสนสนุกสุดสร้างสรรค์ เรียนรู้เทคโนโลยีการแพทย์และวิทยาศาสตร์สุขภาพ พร้อมลุ้นรับรางวัลพิเศษมากมายภายในงาน
รายละเอียดเพิ่มเติม : CRA WonderHealth
null
การผจญภัยของเด็กๆ ในโลกสุขภาพ
การผจญภัยของเด็กๆ ในโลกสุขภาพ
ชวนเที่ยวงานวันเด็กแห่งชาติ 2568 วันเสาร์ที่ 11 มกราคม เวลา 08.30-12.00 น. ณ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
ภายใต้ธีมงาน "การผจญภัยของเด็กๆ ในโลกสุขภาพ" พบกับกิจกรรมมากมาย
เวทีกลาง ณ ลานอเนกประสงค์ ชั้น 1 อาคารบริหาร
  • ซุ้มกิจกรรมต่าง ๆ
  • การขับร้องโดยโรงเรียนสอนดนตรี Kp Act
  • เสวนาเรื่อง "ของเล่นปลอดภัย สมวัย เสริมพัฒนาการ"
  • กิจกรรมเล่านิทานโดยโรงเรียนสอนดนตรี Kp Act
  • เสวนาเรื่อง "ไขความลับอาหารตามวัยในดินแดนมหัศจรรย์"
  • การแสดงโดยนักศึกษาพยาบาลรามาธิบดี
  • เสวนาเรื่อง "ไขความลับอาหารตามวัยในดินแดนมหัศจรรย์"
  • เสวนาเรื่อง "กิจกรรมสนุกช่วยส่งเสริมทักษะสมอง EF"
  • การแสดงโดยนักศึกษาแพทย์รามาธิบดี
Hospital Tour
  • กิจกรรม CPR (การปั๊มหัวใจ)
  • กิจกรรมห้องผ่าตัด
  • กิจกรรม VR (การจำลองภาพเสมือนจริง)
  • กิจกรรมทันตกรรม
รายละเอียดเพิ่มเติม : การผจญภัยของเด็กๆ ในโลกสุขภาพ
null
เด็กไทยหัวใจ Volunteer
เด็กไทยหัวใจ Volunteer
ชวนเที่ยวงานวันเด็กแห่งชาติ 2568 วันเสาร์ที่ 11 มกราคม เวลา 08.00-15.00 น. ณ บริเวณโถงอาคารสิรินธรานุสรณ์ 60 พรรษา สถาบันการพยาบาลศรีสวรินทิรา สภากาชาดไทย ถนนอังรีดูนังต์
ภายในงานพบกิจกรรมจากพี่ ๆ หน่วยงานภายในสภากาชาดไทย พร้อมของแจก ของรางวัลพิเศษมากมายพลาดไม่ได้
รายละเอียดเพิ่มเติม : เด็กไทยหัวใจ Volunteer
null
Fin.Land Green Saving Adventure ตะลุยออม…รักษ์โลก
Fin.Land Green Saving Adventure ตะลุยออม…รักษ์โลก
ชวนเที่ยวงานวันเด็กแห่งชาติ 2568 วันเสาร์ที่ 11 มกราคม เวลา 8.00 - 15.45 น. ณ ศูนย์การเรียนรู้แบงก์ชาติ พบกับของรางวัลสุดว้าว กิจกรรมสุดสนุก เพลินกับการแสดงนิทานการออม และอิ่มอร่อยกับอาหาร - เครื่องดื่ม ฟรี ! ตลอดงาน
พิเศษกว่าที่เคย ! ชวนมาลุ้นรางวัล Lucky Draw สุดว้าว Samsung Galaxy Tab A9 LTE 8.7", ตุ๊กตาหมีตัวใหญ่, สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า, จักรยานขาไถ, เลโก้, กล่องสุ่มอาร์ตทอยและของรางวัลภายในงานอีกมากมาย
รายละเอียดเพิ่มเติม : Fin.Land Green Saving Adventure ตะลุยออม…รักษ์โลก
null
ถนนสายวิทยาศาสตร์ รับวันเด็กแห่งชาติ 2568
ถนนสายวิทยาศาสตร์ รับวันเด็กแห่งชาติ 2568
ชวนเที่ยวงานวันเด็กแห่งชาติ 2568 วันเสาร์ที่ 11 มกราคม “ถนนสายวิทยาศาสตร์ ScienceAvenue” จัดโดยองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) หรือ NSMกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
  • เวลา 08.00-17.00 น. ณ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) หรือ NSM คลองห้า ปทุมธานี
  • เวลา 09.00-19.00 น. NSM Science Square @ The Street Ratchada ชั้น 5 ศูนย์การค้า เดอะ สตรีท รัชดา MRT ศูนย์วัฒนธรรม กทม.
null
เที่ยวงานวันเด็กกับไทยพีบีเอส
เที่ยวงานวันเด็กกับไทยพีบีเอส
ชวนเที่ยวงานวันเด็กแห่งชาติ 2568 วันเสาร์ที่ 11 มกราคม เวลา 07.00-15.00 น. ณ Thai PBS ภายในงานเด็กๆ จะได้ทดลองเป็น "ผู้ประกาศข่าวตัวจิ๋ว" พร้อมได้บันทึกเทปจริงและสามารถติดตามชมได้ที่
ช่องทางออนไลน์ของไทยพีบีเอส / ชมการแสดง "หนูน้อยเจ้าเวหา" เรียนรู้การเล่นและบินโดรนสุดว้าว / สวมบทบาทเป็น "เกษตรกรตัวน้อย" เรียนรู้วิถีชาวนา สัมผัสประสบการณ์ดำนา / How to "ทำพอดแคสต์" ฝึกลงเสียงจากทีมงานคุณภาพ / เปิดหน้า "YOUTUBER ตัวจิ๋ว" ทำรายการสุดปัง ! และไฮไลท์ 3 มหัศจรรย์เด็กไทย
  • มหัศจรรย์การละเล่นแบบไทย สนุกกับการละเล่นโบราณที่ประยุกต์มาเพื่อเด็ก Gen ใหม่
  • มหัศจรรย์ความสามารถเด็กไทย สนุกกับโชว์ความสามารถรอบด้านของเด็กไทยบนเวที
  • มหัศจรรย์วิถีไทย สนุกกับการแต่งชุดไทย เดินเล่นท่ามกลางบรรยากาศไทยๆ 5 ภาค
รายละเอียดเพิ่มเติม : เที่ยวงานวันเด็กกับไทยพีบีเอส
null
วันเด็ก ’68: Kids รอด ปลอดภัย
วันเด็ก ’68: Kids รอด ปลอดภัย
ชวนเที่ยวงานวันเด็กแห่งชาติ 2568 วันเสาร์ที่ 11 มกราคม เวลา 10.00-17.00 น. ณ อุทยานการเรียนรู้ TK Park ชั้น 8 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์
เปิดพื้นที่ชวนเด็กๆ มา "Kids รอด ปลอดภัย" เตรียมตัว รู้ รอด จากอุบัติเหตุ ภัยพิบัติ เหตุการณ์ไม่คาดฝัน อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะเจอสถานการณ์หนักแค่ไหนก็พร้อมรับมือ เอาตัวรอดได้อย่างปลอดภัย สนุกกับกิจกรรมพร้อมรับรางวัลพิเศษมากมายจากผู้ใหญ่ใจดีกลับไปสนุกกับการเรียนรู้ต่อที่บ้าน และเพลิดเพลินกับการแสดงที่เราเตรียมไว้ให้ชมกัน
รายละเอียดเพิ่มเติม : วันเด็ก ’68: Kids รอด ปลอดภัย

โนโรไวรัส (Norovirus)

โนโรไวรัส

Norovirus
เป็นเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการท้องเสีย อาเจียน และอาหารเป็นพิษที่พบได้บ่อย มักพบในช่วงเข้าฤดูหนาว หรือเมื่ออากาศเริ่มเย็นลง
อาการ
  • อาการที่พบได้บ่อย : ถ่ายเหลว, คลื่นไส้อาเจียน, ปวดท้อง
  • อาการอื่นๆ ที่พบได้ : ไข้, ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยเนื้อตัว
  • อาการขาดน้ำ อาจสังเกตได้จาก : ปากแห้ง, ปัสสาวะลดลง, เวียนศีรษะหน้ามืดเวลาลุกขึ้น, หากเป็นเด็กอาจพบว่าร้องให้โดยไม่มีน้ำตา
โดยผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่รุนแรงได้แก่ เด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี, ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้ป่วยสามารถหายได้ใน 1-3 วัน แต่อาจสามารถแพร่กระจายเชื้อได้นานถึง 2 สัปดาห์
กรณีสงสัย สามารถตรวจเชื้อได้จากในอุจจาระ รอผล 1-2 ชั่วโมง
การแพร่กระจายเชื้อ
  • เป็นเชื้อไวรัสที่สามารถแพร่กระจาย และรับเชื้อได้ง่ายมาก
  • โดยรับเชื้อผ่านทางอุจจาระหรือการอาเจียนของผู้ที่มีอาการป่วยจากไวรัสชนิดนี้, การรับประทานอาหารและที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัส
  • ผู้ป่วยสามารถแพร่เชื้อได้ตั้งแต่เริ่มมีอาการ จนอาจยาวนานได้ถึง 2 สัปดาห์หลังจากอาการป่วยดีขึ้นแล้ว
วิธีการป้องกันการแพร่กระจาย/การติดเชื้อ
ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกัน Norovirus โดยเฉพาะ แต่ท่านสามารถป้องกันการติดเชื้อได้ด้วยการล้างมือด้วยสบู่อย่างน้อย 20 วินาที
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
  • หลังการเข้าห้องน้ำ หรือ การเปลี่ยนผ้าอ้อม
  • ก่อนการปรุงอาหาร จับ หรือรับประทานอาหาร
  • ล้างผักผลไม้ ก่อนรับประทานทุกครั้ง
  • หากจะรับประทานหอยนางรมหรือหอยชนิดอื่น แนะนำให้ปรุงให้สุกด้วยอุณหภูมิอย่างน้อย 62.5 องศา
  • ทำความสะอาดห้องครัว เครื่องครัว อย่างสม่ำเสมอ
การใช้เจลล้างมืออาจจัดการกับ Norovirus ได้ไม่ดีนัก แนะนำให้ใช้ควบคู่กับการล้างมือถึงจะดีที่สุด
หากท่านเป็นผู้ป่วยจากการติดเชื้อ Norovirus แนะนำให้รอให้อาการป่วยหายดี 48 ชั่วโมงก่อน ถึงจะเตรียมอาหารได้
หากสัมผัสกับอาเจียนหรืออุจจาระของผู้ป่วย
  • ควรสวมถุงมือก่อนการสัมผัส ใช้กระดาษเช็ดออกให้หมด แล้วทิ้งลงถุงขยะพลาสติก
  • ทำความสะอาดบริเวณพื้นผิวที่สัมผัสด้วยผลิตภัณฑ์น้ำยาคลอรีนฆ่าเชื้อ แล้วตามด้วยสบู่+น้ำร้อนอีก 1 รอบ
  • การซักผ้าที่ปนเปื้อน แนะนำให้ซักด้วยน้ำร้อน ใช้โปรแกรมปั่นที่นานสุด หากมีโปรแกรมอบผ้าในตัวเครื่องแนะนำให้ใช้อุณหภูมิสูงสุด
การรักษา
ปัจจุบันยังไม่มียาฆ่าเชื้อที่จำเพาะกับ Norovirus การรักษาเป็นเพียงการประคับประคองตามอาการ และป้องกันการขาดน้ำ ได้แก่
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ
  • หากอาเจียนหรือถ่ายเหลวมาก ควรดื่มน้ำเกลือแร่ทางการแพทย์
  • การดื่มเกลือแร่ชนิดดื่มหลังออกกำลังกาย หรือเครื่องดื่มแบบไม่มีคาเฟอีนชนิดอื่น อาจช่วยได้ในการขาดน้ำแบบเล็กน้อยเท่านั้น
  • เฝ้าระวังการขาดน้ำ หากมีอาการขาดน้ำควรรีบปรึกษาแพทย์

โปรแกรมและแพ็คเกจ

โปรแกรมตรวจสุขภาพสำหรับเด็ก

โปรแกรมตรวจสุขภาพสำห […]

วัคซีนปัองกันโรคมือ เท้า ปาก (EV71)

วัคซีนป้องกันโรคมือเ […]

โรคไอกรน Pertussis

โรคไอกรน

Pertussis
โรคไอกรนเป็นโรคติดต่อทางระบบทางเดินหายใจ เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Bordetella pertussis ซึ่งก่อโรคเฉพาะในคน ผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนกระตุ้นเป็นระยะจะมีโอกาสเป็นซ้ำได้ ในพื้นที่ที่มีความ ครอบคลุมในการฉีดวัคซีนต่ำ จะมีการระบาดได้ง่าย เช่น ในช่วงกลางปี 2567 มีการระบาดต่อเนื่องในภาคใต้เนื่องจากความครอบคลุมในการฉีดวัคซีนต่ำมาก
การติดต่อ
การติดต่อของโรคเกิดผ่านละอองฝอยไอหรือจามจากผู้ป่วย หรือผ่านการสัมผัสโดยตรงกับสารคัดหลั่งจาก
ทางเดินหายใจของผู้ป่วย ระยะของการแพร่เชื้อเกิดขึ้นตั้งแต่ระยะที่ผู้ป่วยเริ่มมีอาการไอ มีน้ำมูก จนถึง 21 วัน
หลังจากที่ผู้ป่วยมีอาการของโรค จะแพร่เชื้อได้สูงสุด ในระยะอาการหวัด
อาการและอาการแสดง อาการของโรคไอกรนแบ่งได้เป็น 3 ระยะ ดังนี้
  1. ระยะอาการหวัด ผู้ป่วยจะมีอาการ มีน้ำมูก ไข้ต่ำ ๆ แยกยากจากไข้หวัดทั่วไป
  2. ระยะไอรุนแรง ผู้ป่วยจะมีอาการไอรุนแรงติดต่อกันเป็นชุด ตามด้วยการหายใจเข้าอย่างแรง จนเกิดเสียงวูบ บางรายอาจมีอาเจียน เขียวและหยุดหายใจ โดยเฉพาะผู้ป่วย เด็กเล็ก
  3. ระยะฟื้นตัว (Convalescent stage) ผู้ป่วยจะมีอาการไอและอาเจียนทุเลาลง หายไปใน 2-3 สัปดาห์ บางรายอาจมีอาการไอได้นานหลายสัปดาห์โดยรวมระยะของโรคทั้งหมดหากไม่มีโรคแทรกซ้อนจะใช้เวลาประมาณ 6-10 สัปดาห์
ภาวะแทรกซ้อนของโรคไอกรนที่อาจพบในวัยรุ่นและในผู้ใหญ่ ได้แก่ ปอดอักเสบ น้ำหนักลด ไอจน
รบกวนการนอน กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ กระดูกซี่โครงหัก โดยเฉพาะผู้สูงอายุอาจเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่เพิ่มขึ้น
สำหรับในทารกโดยเฉพาะอย่างยิ่งทารกอายุน้อยกว่า 6 เดือน และยังได้รับวัคซีนไม่ครบ อาจมีอาการที่รุนแรงได้
การให้วัคซีนป้องกันไอกรน
วัคซีนป้องกันไอกรน มีทั้งชนิดวัคซีนเดี่ยวและชนิดวัคซีนรวมกับคอตีบและบาดทะยัก เด็กนักเรียนทุกคนควรได้รับวัคซีนที่แนะนําตามอายุให้ครบถ้วน ได้แก่
  1. อายุน้อยกว่า 6 ปี ควรรับวัคซีนให้ครบ โดยเป็นวัคซีนรวมที่มีคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน และอาจรวมวัคซีน ป้องกันเชื้ออื่นๆ ในเด็กเล็กด้วย เช่น DTP-HB-Hib จำนวน 5 โด๊ส ที่อายุ 2, 4, 6, 18 เดือน และ 4-6 ปี
  2. วัยรุ่น 10-12 ปี แนะนําให้ฉีดวัคซีนรวมคอตีบ บาดทะยัก ไอกรนชนิดไร้เซลล์สูตรเด็กโตและผู้ใหญ่ (Tdap/TdaP) กระตุ้น 1 โด๊ส หลังจากนั้นฉีดกระตุ้นต่อด้วย ด้วยวัคซีน dT/Tdap/TdaP ทุก 10 ปี
  3. ผู้ใหญ่ หากยังไม่เคยฉีดวัคซีนป้องกันไอกรนเข็มกระตุ้น แนะนําให้ฉีดวัคซีนรวม Tdap/TdaP กระตุ้น 1 โด๊ส จากนั้นแนะนําให้ฉีดวัคซีนรวม dT/Tdap/TdaP กระตุ้น ประมาณทุก 10 ปี แนะนําให้ฉีดเมื่ออายุลงท้ายด้วยเลข “0” เช่นที่อายุ 20, 30, 40, 50, 60, 70, 80 ปี
  4. หญิงตั้งครรภ์ แนะนําให้วัคซีนป้องกันไอกรนในหญิงตั้งครรภ์ทุกรายที่มีอายุครรภ์ตั้งแต่ 16 สัปดาห์ขึ้นไป
  5. ในกรณีที่มีเด็กทารกที่อายุน้อยกว่า 6 เดือน ในครอบครัว ควรให้ทุกคนในบ้านได้รับวัคซีนป้องกันไอกรน ตามที่แนะนําในข้างต้นให้ครบถ้วน เพื่อไม่ให้แพร่เชื้อไปยังทารก (Cocooning)
ที่มา: ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย
ข้อมูลเพิ่มเติม : คำแนะนำโรคไอกรนสำหรับประชาชน_รวกท..pdf
วันที่: 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

โปรแกรมและแพ็คเกจ

โปรแกรมตรวจสุขภาพสำหรับเด็ก

โปรแกรมตรวจสุขภาพสำห […]

วัคซีนปัองกันโรคมือ เท้า ปาก (EV71)

วัคซีนป้องกันโรคมือเ […]

โรคนิ้วล็อก

โรคนิ้วล็อก

Adult trigger digits
โรคนิ้วล็อก คือ ภาวะเส้นเอ็นถูกกดทับบริเวณนิ้วมือ เกิดจากปลายหุ้มเอ็น A1 pulley มีความหนาคล้ายปลอกคอสีขาวล้อมรอบเส้นเอ็น เป็นหนึ่งในสาเหตุของการปวด และความผิดปกติของนิ้วที่พบมากที่สุด เกิดในเพศหญิงมากว่าเพศชาย ส่วนใหญ่มักพบที่นิ้วนางและนิ้วกลางของมือที่ถนัดมากเป็นอันดับแรก (1) ปัจจัยที่ทำให้มีโอกาสเกิดโรคนิ้วล็อคเพิ่มขึ้น หรือเพิ่มความรุนแรงของโรค ได้แก่ โรคเบาหวาน ภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์ หรือโรคข้ออักเสบต่างๆ โดยที่ผู้ป่วยโรคเบาหวาน จะมีโอกาสเป็นนิ้วล็อคมากกว่าคนปกติประมาณ 2 เท่า (2)
อาการของโรคนิ้วล็อค
จะมีแค่อาการปวดบริเวณโคนนิ้วด้านหน้าเป็นอาการเริ่มต้น ต่อมาจะเริ่มแสดงอาการนิ้วล็อคและดีดออก ซึ่งในช่วงแรกจะยังดีดเองได้ หรือท้ายที่สุดอาจจะไม่สามารถดีดออกได้ หรือล็อคค้างไปเลย ซึ่งถ้าหากทิ้งไว้นานๆ อาจจะมีข้อติดตามมา จนต้องผ่าตัดเลาะพังผืด เพื่อแก้ไขภาวะนี้ได้
การรักษาแบบไม่ผ่าตัด
สามารถทำได้โดยการแนะนำผู้ป่วยให้ปรับท่าทางและลักษระการใช้มือในชีวิตประจำวัน เช่น ลดการกำมือแน่นๆ ถือของหนักๆ กายภาพบำบัดโดยการเหยียดนิ้วออก ให้ยารับประทานหรือฉีดยากลุ่ม NSAIDs และการฉีดยาสเตียรอยด์ โดยร้อยละ 45 ถึงร้อยละ 80 ของผู้ป่วยจะหายได้จากการฉีดยา (3) ข้อเสียของการฉีดยาสเตียรอยด์เข้าปลอกหุ้มเอ็น คือ อาจทำให้มีความเสี่ยงติดเชื้อสูงขึ้น หลังผ่าตัดเลาะปลอกหุ้มเอ็นออก (Open trigger finger release) (4) รวมถึงมีรายงานเส้นเอ็นเปื่อยยุ่ยและขาดเองตามมาได้ แม้ว่าจะพบไม่บ่อยก็ตาม (5)
การผ่าตัดเพื่อเลาะปลอกหุ้มเอ็น
เป็นหัตถการที่ค่อนข้างมีประสิทธิภาพ ในกรณีที่ผู้ป่วยผ่านการรักษาแบบไม่ผ่าตัดมาแล้ว ยังไม่ประสบผลสำเร็จ อัตราการประสบผลสำเร็จของการผ่าตัดอยู่ที่ร้อยละ 90 ถึง 100 และพบภาวะแทรกซ้อนได้แก่ เส้นเลือด เส้นประสาทขาดและนิ้วล็อคคงค้างได้ร้อยละ 5 ถึง 12 (6,7) และหลังจากผ่าตัดอาจจะมีอาการปวดข้อนิ้วมือต่อไปอีก 8 ถึง 12 สัปดาห์ (8) ปัจจัยเสี่ยงของอาการที่ยังคงมีอยู่ ได้แก่ ระยะเวลาที่เริ่มมีอาการก่อนการผ่าตัด ระยะเวลาของข้อที่ติดก่อนการผ่าตัดและลักษณะเส้นเอ็นที่ฉีดชาดบางส่วนซึ่งพบขณะผ่าตัด จึงแนะนำว่าหากจำเป็นต้องการผ่าตัด
null

รูปที่ 1 แสดงการฉีดยาสเตียรอยด์ โดยใช้วิธี intrasheath Technique

null

รูปที่ 2 ภาพแสดงปลอกหุ้มเอ็นที่กดทับเส้นเอ็น ซึ่งเห็นได้จากการผ่าตัด

Bibliography
  1. Lunsford D, Valdes K. Hengy S. Conservative management of trigger finger: A systematic review. J Hand Ther. 2019;32(2):2 2-2.
  2. Kuczmarski AS, Harris AP, Gil JA, Weiss AC. Management of Diabetic Trigger Finger. J Hand Surg Am. 2019;44(2):150-3.
  3. Leow MQH, Hay ASR, Ng SL, Choudhury MM, Li H, McGrouther DA, et al. A randomized controlled trial comparing ketorolac and triamcinolone injections in adults with trigger digits. J Hand Surg Eur Vol. 20 8,43(9):936-41.
  4. Lutsky KF, Lucenti L, Banner L. Matzon J, Beredjiklian PK. The Effect of Intraoperative Corticosteroid Injections on the Risk of Surgical Sile Infections for Hand Procedures. J Hand Surg Am. 2019;44(10):840-5 e5.
  5. Filzgerald BT, Holmeister EP, Fan RA, Thompson MA Delayed flexor digitorum superficialis and profundus ruptures in a trigger finger after a steroid injection: a case report. J Hand Surg Am. 2005;30(3):479-82.
  6. Bruijnzeel H, Neuhaus V, Fostvedt S, Jupiter JB, Mudgal CS, Ring DC. Adverse events of open A1 pulley release for idiopathic trigger finger. J Hand Surg Am. 2012;37(8):1650-6.
  7. Everding NG, Bishop GB, Belyea CM, Soong MC. Risk factors for complications of open trigger finger release. Hand (NY). 2015;10(2):297-300
  8. Baek JH, Chung DW, Lee JH. Factors Causing Prolonged Postoperative Symptoms Despite Absence of Complications Aller A1 Pulley Release lor Trigger Finger. J Hand Surg Am. 2019;44(4):338 е1-еб.
    2

โปรแกรมและแพ็คเกจ

กลุ่มอาการพังผืดทับเส้นประสาทที่ข้อมือ

กลุ่มอาการพังผืดทับเส้นประสาทที่ข้อมือ

Carpal Tunnel Syndrome
กลุ่มอาการพังผืดทับเส้นประสาทที่ข้อมือ เป็นภาวะที่เกิดจากการบีบรัดเส้นประสาทมีเดียนที่ข้อมือ ซึ่งส่งผลให้เกิดอาการชา ปวด หรืออ่อนแรงบริเวณนิ้วมือ โดยเฉพาะที่นิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้และนิ้วกลาง สาเหตุของภาวะนี้มักเกิดจากการใช้ข้อมือที่ซ้ำๆ หรือเกิดจากการบาดเจ็บที่ข้อมือ เช่น การใช้งานคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน หรือการทำงานที่ต้องใช้ข้อมือบ่อยๆ หากปล่อยทิ้งไว้นานโดยไม่รักษา อาจทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงและหยิบจับไม่ถนัดได้
การรักษาโรคพังผืดทับเส้นประสาทที่ข้อมือแบบไม่ผ่าตัด
การรักษาโรคพังผืดทับเส้นประสาทที่ข้อมือเบื้องต้นรวมถึงการใช้วิธีที่ไม่ต้องผ่าตัด เช่น
    การใส่เฝือกอ่อน เพื่อช่วยลดการเคลื่อนไหวของข้อมือ
    การใช้ยาต้านการอักเสบ เพื่อบรรเทาอาการปวดและลดการอักเสบ
    การทำกายภาพบำบัด เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงและยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อรอบข้อมือ
นอกจากนี้ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ข้อมือ เช่น การหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้ข้อมือถูกใช้งานหนักเกินไป ก็เป็นส่วนสำคัญในการรักษาอาการนี้ หากรักษาไปช่วงหนึ่งแล้วอาการไม่ดีขึ้น การผ่าตัดเลาะพังผืดบริเวณข้อมือก็จะช่วยแก้ไขสาเหตุของโรคได้ และป้องกันมืออ่อนแรงในอนาคต
การผ่าตัดปล่อยเส้นประสาทผ่านการส่องกล้อง
Endoscopic Carpal Tunnel Release
การผ่าตัดแบบเดิมเป็นการผ่าตัดแบบเปิด แผลจะมีขนาดใหญ่และกลับมาใช้งานมือได้ช้า การผ่าตัดปล่อยเส้นประสาทผ่านการส่องกล้องเป็นวิธีการรักษาที่ใช้สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการพังผืดทับเส้นประสาทที่ข้อมือในขั้นรุนแรง หรือเมื่อการรักษาแบบอนุรักษ์ไม่สามารถบรรเทาอาการได้ การผ่าตัดนี้ทำโดยการใช้กล้องส่องผ่านเข้าไปที่ข้อมือแล้วตัดพังผืดที่กดทับเส้นประสาท ทำให้เส้นประสาทสามารถทำงานได้ดีขึ้น วิธีนี้มีข้อดีคือ แผลผ่าตัดเล็ก ฟื้นตัวได้เร็ว และมีอาการปวดน้อยกว่าการผ่าตัดแบบเปิด
ข้อดีของการผ่าตัดปล่อยเส้นประสาทผ่านการส่องกล้อง
  • แผลผ่าตัดเล็ก
  • ฟื้นตัวได้เร็ว
  • มีอาการปวดน้อยกว่าการผ่าตัดแบบเปิด
null

รูปที่ 1 คำอธิบายใต้ภาพ

null

รูปที่ 2 คำอธิบายใต้ภาพ

โปรแกรมและแพ็คเกจ

คำแนะนำเกี่ยวกับอาหารปราศจากน้ำตาลแลคโตส

คำแนะนำเกี่ยวกับอาหารปราศจากน้ำตาลแลคโตส

Lactose-free Diet
แลคโตส (Lactose)
เป็นน้ำตาลชนิดหนึ่งที่พบอยู่ในนมและผลิตภัณฑ์จากนม ย่อยโดยเอนไซม์แลคเตส (Lactase) ในลำไส้เล็ก
หากมีภาวะพร่องเอนไซม์แลคเตสจะทำให้มีอาการถ่ายเหลว ปวดท้อง ท้องอืด
เมื่อรับประทานนมหรือผลิตภัณฑ์จากนม
ข้อบ่งชี้
ผู้ป่วยที่มีภาวะพร่องเอนไซม์แลคเตส เช่น ผู้ป่วยที่ลำไส้อักเสบจากเชื้อไวรัสโรต้า เป็นต้น
คำแนะนำ
หลีกเลี่ยงอาหารที่มีส่วนผสมของ นมวัว/นมแพะ รวมถึงนมผง นมข้นหวาน นมข้นจืด ชีส โยเกิร์ต ครีม ไอศกรีมที่มีนมผสม
และสามารถเลือกรับประทานอาหารได้ดังตารางต่อไปนี้
ชนิด
รับประทานได้
ควรหลีกเลี่ยง
เครื่องดื่ม
  • นมผงสูตร Lactose free
  • นม UHT หรือ พาสเจอไรซ์ที่ระบุว่า Lactose free
    เช่น M-milk, Meiji, ไทยเดนมาร์ก เป็นต้น
  • นมถั่วเหลือง (สูตรเจ)
  • น้ำหวาน เช่น น้ำเก๊กฮวย
  • น้ำผลไม้
  • นมอัลมอนด์, น้ำนมข้าว
  • ชา, กาแฟที่ไม่ผสมนม
  • นมสด ทั้งในรูปแบบนมผง นม UHT
  • นมพาสเจอไรซ์
  • นมเปรี้ยว
  • เครื่องดื่มสำเร็จรูปที่มีนมผสม
    เช่น โอวัลติน โกโก้ กาแฟ 3-in-1 เป็นต้น
  • นมถั่วเหลืองบางสูตรที่มีส่วนผสมของนมผง
อาหารหลัก
  • ข้าวทุกชนิด
  • ก๋วยเตี๋ยวและพาสต้า
  • ขนมปังแผ่น
  • ผักและเนื้อสัตว์
  • ชีส เนย เนยแข็ง
  • ซุปข้น เช่น ซุปเห็ด ซุปข้าวโพด
  • ขนมปังที่มีนมผสม
    เช่น ขนมปังสูตรฮอกไกโด หรือที่มีไส้คัสตาร์ด
อาหารหวาน/ของว่าง
  • ผลไม้ แยมผลไม้
  • ขนมไทย
    เช่น เฉาก๊วย ฝอยทอง
  • ถั่วและธัญพืชทุกชนิด
  • เค้ก ครีม คัสตาร์ด
  • ไอศกรีมที่มีนมหรือครีม วิปครีม
  • โยเกิร์ต
หมายเหตุ
  • อาหารอื่นๆ ควรดูฉลากผลิตภัณฑ์เพื่อดูว่ามีนมส่วนประกอบหรือไม่
  • เด็กทารกที่รับประทานนมแม่สามารถให้ต่อได้ไม่เป็นข้อห้าม
  • แนะนำหยุดอาหารปราศจากแลคโตสเมื่อแพทย์สั่ง

โปรแกรมและแพ็คเกจ

โปรแกรมตรวจสุขภาพสำหรับเด็ก

โปรแกรมตรวจสุขภาพสำห […]

วัคซีนปัองกันโรคมือ เท้า ปาก (EV71)

วัคซีนป้องกันโรคมือเ […]

ข้อดี ที่ควรรู้ ก่อนตรวจมะเร็งปากมดลูก HPV testing

ข้อดี ที่ควรรู้ ก่อนตรวจมะเร็งปากมดลูก

Benefit of HPV testing
ถาม เชื้อไวรัส HPV (Human papillomavirus) คืออะไร
ตอบ HPV เป็นเชื้อไวรัสที่มีหลายสายพันธุ์ โดยเฉพาะในกลุ่ม สายพันธุ์ 16, 18, 31, 33, 45, 52 และ 58 ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่เป็นสาเหตุของมะเร็ง เชื้อไวรัส HPV สามารถติดต่อได้ทางเพศสัมพันธ์ โดย 90 % ของการติดเชื้อไวรัส HPV สามารถหายเองได้ แต่ในบางกลุ่มหากการติดเชื้อเป็นอยู่ถาวร อาจนำไปสู่รอยโรคระยะก่อนเป็นมะเร็ง มะเร็งปากมดลูก มะเร็งที่อวัยวะเพศ/ช่องคลอด/ทวารหนัก หรือมะเร็งบริเวณหลอดอาหาร นอกจากนี้ยังมีสายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดหูดหงอนไก่ได้ คือ สายพันธุ์ 6 และ 11

โดย 90 % ของการติดเชื้อไวรัส HPV สามารถหายเองได้ แต่ในบางกลุ่มหากการติดเชื้อเป็นอยู่ถาวร อาจนำไปสู่รอยโรคระยะก่อนเป็นมะเร็ง หรือมะเร็งกลุ่มข้างต้นได้

ถาม เชื้อไวรัส HPV (Human papillomavirus) ส่งผลต่อเราอย่างไร
ตอบ เชื้อไวรัส HPV เป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดมะเร็งปากมดลูกหรือมะเร็งช่องทวารหนักได้ร้อยละ 90 จากการรายงานพบว่ามะเร็งปากมดลูกเป็นสาเหตุสูงสุดอันดับที่ 4 ของมะเร็งในสตรี โดยการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกสามารถลดอุบัติการณ์การเกิดหรือความรุนแรงของมะเร็งปากมดลูกได้

ปัจจุบันองค์การอนามัยโลกมีเป้าหมายลดอุบัติการณ์การเกิดมะเร็งปากมดลูกแบบ 90:70:90 คือ ครอบคลุมการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสเอชพีวีร้อยละ 90 ครอบคลุมการคัดกรองมะเร็งปากมดลูกร้อยละ 70 และรักษามะเร็งปากมดลูกระยะก่อนมะเร็งได้ร้อยละ 90 ภายในปี พ.ศ. 2573 โดยแนะนำให้เพิ่มความครอบคลุมการคัดกรองมะเร็งปากมดลูกโดยวิธีการตรวจเชื้อไวรัสเอชพีวีด้วยตนเอง (HPV self-collection) จะสามารถเพิ่มโอกาสการเข้าถึงการ คัดกรองมะเร็งปากมดลูกได้มากขึ้นจนถึงร้อยละ 70 ตามเป้าหมาย

ถาม การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกในยุคปัจจุบัน
ตอบ องค์การอนามัยโลก ได้แนะนำการคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ดังนี้

  1. การตรวจสารพันธุกรรมเชื้อไวรัสเอชพีวี (HPV DNA/mRNA testing, HPV Nucleic Acid Amplification Tests: NAATs)
  2. การตรวจคัดกรองด้วยน้ำส้มสายชูและดูด้วยตาเปล่า (Visual inspection: VIA)
  3. การตรวจทางเซลล์วิทยาปากมดลูก (Pap smear/ liquid-based cytology)
สำหรับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกแบบปฐมภูมิ (Primary HPV testing) หรือการตรวจสารพันธุกรรมเชื้อไวรัสเอชพีวี มีความไวและความจำเพาะที่สูงในการตรวจหารอยโรคตั้งแต่ระยะก่อนเป็นมะเร็งปากมดลูก และได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา (US-FDA) ว่าเป็นวิธีหนึ่งในการคัดกรองมะเร็งปากมดลูกในหญิงที่อายุมากกว่า 25 ปี
สำหรับประเทศไทยมีรายงานการเข้าถึงการคัดกรองมะเร็งปากมดลูกร้อยละ 30-60 เท่านั้น โดยใช้การคัดกรองด้วยเซลล์วิทยา และการตรวจคัดกรองด้วยน้ำสมสายชู และการดูด้วยตาเปล่า (VIA) เป็นหลัก
โดยสาเหตุที่ทำให้การเข้าถึงการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกในประเทศไทยมีอัตราต่ำเกิดจากทัศนคติว่าตนเองไม่มีความเสี่ยงของโรค ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ความกลัวหรือรู้สึกเขินอายจากการตรวจภายใน

ถาม ประโยชน์ของการตรวจสารพันธุกรรมเชื้อไวรัสเอชพีวี (Primary HPV testing)
ตอบจากปัจจุบันมี งานวิจัยจำนวนมากพบว่าการตรวจสารพันธุกรรมเชื้อไวรัสเอชพีวี (primary HPV testing) มีประสิทธิภาพสูงกว่าการตรวจทางเซลล์วิทยา (cervical cytology) ในการตรวจหารอยโรคก่อนมะเร็งปากมดลูก นอกจากนี้ยังช่วยลดอุบัติการณ์ และการเสียชีวิตของสตรีจากมะเร็งปากมดลูกลงได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้การตรวจสารพันธุกรรมเชื้อไวรัสเอชพีวีหากพบผลปกติ สามารถตรวจติดตามทุก 5 ปี จึงพบว่ามีความคุ้มทุนมากกว่าการตรวจทางเซลล์วิทยาที่ต้องตรวจติดตาม ทุก 3 ปี

โปรแกรมและแพ็คเกจ

Baby Delivery Package

Normal Delivery Pack […]

PACKAGE ฝังยาคุมกำเนิด

แพ็กเกจฝังยาคุมกำเนิ […]

การตรวจวัดระดับ Lipoprotein (a)

การตรวจวัดระดับ Lipoprotein (a)

Lipoprotein (a) คืออะไร
Lipoprotein (a) หรือที่เรียกว่า Lp(a) เป็นชนิดของโปรตีนไขมันที่มีส่วนผสมระหว่างโปรตีนและไขมัน Lp(a) มีโครงสร้างคล้ายกับ LDL (low-density lipoprotein) ซึ่งเป็นไขมันที่มักเรียกว่า "คอเลสเตอรอลตัวเลว" แต่มีโปรตีนเพิ่มเข้ามาที่เรียกว่า apolipoprotein(a)
Lp(a) เป็นสิ่งที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม และมีบทบาทสำคัญในการสะสมไขมันในผนังหลอดเลือด ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะหลอดเลือดอุดตัน (atherosclerosis) และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น โรคหัวใจขาดเลือดและโรคหลอดเลือดสมอง ปริมาณ Lp(a) ในเลือดจะไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงจากการรับประทานอาหารหรือการใช้ยาลดคอเลสเตอรอลเหมือนกับ LDL
Lipoprotein (a) หรือ Lp(a) ถูกควบคุมโดย พันธุกรรม เป็นหลัก ซึ่งหมายความว่าระดับของ Lp(a) ในเลือดถูกกำหนดจากยีนที่สืบทอดจากพ่อแม่ การมีระดับ Lp(a) สูงมักเป็นลักษณะที่ถ่ายทอดภายในครอบครัว และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วยการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต เช่น การรับประทานอาหารหรือการออกกำลังกายเหมือนกับการควบคุมคอเลสเตอรอลชนิดอื่น
ยีนที่ควบคุมการผลิต Lp(a) คือยีน LPA ซึ่งมีอิทธิพลต่อปริมาณของ apolipoprotein(a) ที่ร่างกายสร้างขึ้น การกลายพันธุ์ของยีน LPA อาจทำให้เกิดความหลากหลายของระดับ Lp(a) ในเลือด บางคนอาจมีระดับต่ำมาก ในขณะที่บางคนอาจมีระดับสูง
การตรวจวัดระดับ Lp(a) ในเลือดสามารถช่วยประเมินความเสี่ยงเพิ่มเติมต่อโรคหัวใจในผู้ป่วยที่มีประวัติครอบครัวของโรคหัวใจหรือภาวะไขมันในเลือดสูง
การตรวจวัดระดับ Lipoprotein (a) หรือ Lp(a) ในเลือดทำได้ด้วยวิธีการตรวจเลือดปกติ ขั้นตอนหลัก ๆ มีดังนี้:
  • การเตรียมตัวก่อนตรวจ
    • ปกติแล้วการตรวจ Lp(a) ไม่จำเป็นต้องงดอาหารหรือเครื่องดื่ม (Fasting) ก่อนตรวจ แต่บางครั้งแพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยงดอาหารหากมีการตรวจคอเลสเตอรอลหรือไขมันชนิดอื่นร่วมด้วย
    • ผู้ป่วยควรแจ้งแพทย์ถึงประวัติการใช้ยา หรือประวัติทางการแพทย์อื่น ๆ เพื่อประเมินความเหมาะสมในการตรวจ
  • การเก็บตัวอย่างเลือด
    • ตรวจวิเคราะห์เลือดในห้องปฏิบัติการเพื่อวัดระดับ Lp(a) ผลการตรวจภายใน 7 วัน โดยระดับ Lp(a) ในเลือดจะถูกวัดในหน่วย มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร (mg/dL) หรือ นาโนโมลต่อลิตร (nmol/L)
  • การสรุปผลการตรวจ
    • ค่าปกติของ Lp(a) จะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล เนื่องจากส่วนใหญ่ถูกกำหนดโดยพันธุกรรม
    • ระดับ Lp(a) ที่สูงกว่า 30 mg/dL หรือ 75 nmol/L อาจบ่งบอกถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดในอนาคต
ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำความเข้าใจผลการตรวจและการประเมินความเสี่ยง
เนื่องจาก Lp(a) มีผลต่อความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยระดับ Lp(a) ในผู้ป่วยมักจะคงที่ตลอดชีวิต เพราะถูกควบคุมโดยยีน LPA ไม่ขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อม เช่น อาหาร ยา หรือการออกกำลังกาย แพทย์จึงแนะนำให้ตรวจวัดระดับ Lp(a) ในผู้ที่มีประวัติครอบครัวของโรคหัวใจหรือโรคหลอดเลือดอาจเป็นวิธีที่ดีในการประเมินความเสี่ยงต่อโรคในอนาคต และหาแนวทาง วิธีการปฏิบัติตนให้ห่างไกลโรค

โปรแกรมและแพ็คเกจ

การเสียชีวิตกะทันหันจากโรคหัวใจในนักกีฬาวัยรุ่น

การเสียชีวิตกะทันหันจากโรคหัวใจในนักกีฬาวัยรุ่น

การเสียชีวิตกะทันหันจากโรคหัวใจในนักกีฬาวัยรุ่น
การเสียชีวิตกะทันหันจากโรคหัวใจเป็นภาวะที่หัวใจหยุดเต้นกะทันหันซึ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและไม่คาดคิด การหายใจและการไหลเวียนของเลือดหยุดลงทันที ภายในไม่กี่วินาที ผู้ป่วยจะหมดสติและเสียชีวิต
การเสียชีวิตกะทันหันจากโรคหัวใจในผู้ที่ดูเหมือนมีสุขภาพดีและมีอายุต่ำกว่า 35 ปีนั้นพบได้น้อย โดยพบได้บ่อยในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ส่วนมากเกิดจากโรคหัวใจที่ไม่ได้รับการวินิจฉัย เช่น โรคกล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างซ้ายหนาตัวหรือหัวใจเต้นผิดจังหวะ ทางพันธุกรรม ซึ่งอาจทำให้คนหนุ่มสาวเสียชีวิตกะทันหันระหว่างทำกิจกรรมที่ต้องใช้แรง เช่น การแข่งขันกีฬา แต่การเสียชีวิตกะทันหันก็อาจเกิดขึ้นได้แม้ขณะที่พักหลับ
ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันพบได้บ่อยเพียงใดในวัยรุ่น
ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคหัวใจ อย่างไรก็ตามภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของนักกีฬาวัยรุ่น ในแต่ละปีมีนักกีฬาวัยรุ่นประมาณ 1 ใน 50,000-100,000 คน เสียชีวิตจากภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน
อะไรเป็นสาเหตุของภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันในวัยรุ่น
การเปลี่ยนแปลงของคลื่นไฟฟ้าหัวใจมักทำให้เกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน การเต้นของหัวใจที่เร็วมากทำให้ห้องหัวใจด้านล่างบีบตัวอย่างรวดเร็วและไม่ประสานกัน หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้ ภาวะหัวใจห้องล่างเต้นผิดจังหวะเป็นอันตรายถึงชีวิต ภาวะที่หัวใจทำงานหนักเกินไปหรือมีการทำลายเนื้อเยื่อหัวใจอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันได้
โรคที่อาจเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตจากภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันในวัยรุ่น ได้แก่:
  • โรคกล้ามเนื้อหัวใจหนาผิดปกติ ภาวะทางพันธุกรรมนี้เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของการเสียชีวิตจากภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันในวัยรุ่น การหนาขึ้นนี้ทำให้หัวใจสูบฉีดเลือดได้ยาก
  • กลุ่มอาการ QT ยาวแต่กำเนิด ภาวะนี้อาจทำให้หัวใจเต้นเร็วและผิดจังหวะ นำมาซึ่งอาการเป็นลมโดยไม่ทราบสาเหตุและการเสียชีวิตกะทันหัน โดยเฉพาะในคนอายุน้อย
  • ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะอื่นๆ เช่น กลุ่มอาการบรูกาดา และกลุ่มอาการวูล์ฟ-พาร์กินสัน-ไวท์
  • การถูกกระแทกที่หน้าอกอย่างรุนแรง การบาดเจ็บที่หน้าอกจากของแข็งซึ่งทำให้เกิดการเสียชีวิตจากภาวะหัวใจหยุด เต้นเฉียบพลัน เรียกว่า commotio cordis ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะอาจเกิดขึ้นในนักกีฬาที่ถูกอุปกรณ์กีฬา หรือผู้เล่นคนอื่นกระแทกเข้าที่หน้าอกอย่างแรง
การเสียชีวิตกะทันหันในวัยรุ่นสามารถป้องกันได้หรือไม่
  1. ควรเล่นกีฬาในศูนย์กีฬามาตรฐานที่มีเครื่องกระตุ้นหัวใจไฟฟ้าอัตโนมัติ (AED) เผื่อเหตุการณ์ฉุกเฉิน หากมีอาการหรือภาวะดังกล่าวข้างต้น
  2. แนะนำให้เข้ารับการตรวจคัดกรองที่แผนกอายุรกรรมเฉพาะทางโรคหัวใจ เพื่อตรวจหาโรคหัวใจที่อาจทำให้เกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันได้
ใครควรได้รับการตรวจคัดกรอง
ผู้ที่มีอาการหรือภาวะต่างๆดังต่อไปนี้
  1. เป็นลม/หมดสติ โดยเฉพาะเมื่อเกิดขึ้นระหว่างทำกิจกรรมหรือออกกำลังกาย
  2. เจ็บหน้าอก
  3. มีประวัติครอบครัวเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน

โปรแกรมและแพ็คเกจ