ผศ.ดร.นพ.พีรยุทธ เฟื่องฟุ้ง

ผศ.ดร.นพ.พีรยุทธ เฟื่องฟุ้ง
นิติเวชศาสตร์

ผศ.ดร.นพ. พีรยุทธ เฟื่องฟุ้ง

Assist. Prof. Dr. Peerayuht Phuangphung
Specialty
  • นิติเวชศาสตร์ Forensic Medicine

Language Spoken
  • อังกฤษ, ไทย

ปริญญาบัตรและสถาบันการศึกษา
  • ปริญญาบัตร  แพทยศาสตรบัณฑิต (พ.บ.) (เกียรตินิยม) คณะแพทยศาสตร์  มหาวิทยาลัยมหิดล
  • ปริญญาบัตร ทางนิติศาสตร์ สาขาวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
  • ประกาศนียบัตรบัณฑิตชั้นสูง สาขาวิชาวิทยาศาสตร์การแพทย์คลินิก (วิชาเอกนิติเวชศาสตร์)
  • วุฒิบัตร สาขานิติเวชศาสตร์  มหาวิทยาลัยมหิดล
    • Ph.D. (Toxicology) University of Glasgow, UK
      M.Sc. (Forensic Toxicology) (Distinction) University of Glasgow, UK

    ตารางออกตรวจ
    วัน เวลา หมายเหตุ
    MON 18:00 - 20:00

    นพ.ชุมพล สุรพันธ์ไพโรจน์

    นพ.ชุมพล สุรพันธ์ไพโรจน์
    จิตแพทย์

    นพ.ชุมพล สุรพันธ์ไพโรจน์

    CHUMPOL SURAPHANPHAIROJ.M.D
    Specialty
    • จิตเวชศาสตร์
      จิตเวชทั่วไปในผู้ป่วยผู้ใหญ่ (General Psychiatry)

    Language Spoken
    • อังกฤษ, ไทย

    ปริญญาบัตรและสถาบันการศึกษา
    • ปริญญาบัตร แพทยศาสตรบัณฑิต (พ.บ.) (เกียรตินิยมอันดับ 1) คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย   
    • วุฒิบัตรสาขาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ราชวิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทย

    ตารางออกตรวจ
    วัน เวลา
    TUE 17:00 - 20:00

    โรคอหิวาตกโรค (Cholera)

    โรคอหิวาตกโรค (Cholera)

    Cholera
    โรคอหิวาตกโรค
    Cholera
    หลังจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้การระบาดของโรคอหิวาตกโรคเป็น "ภาวะฉุกเฉินครั้งใหญ่" และพบผู้ป่วยในหลายประเทศเพิ่มขึ้น ประเทศไทยได้เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ดังกล่าวมาโดยตลอด
    สถานการณ์ปัจจุบันในประเทศไทย
    พบผู้ป่วย 4 คนตั้งแต่เดือน ธ.ค.2567 ในพื้นที่ จ.ตาก เป็นชาวต่างชาติ 2 คน คนไทย 2 คน และมีผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการอีก 3 คน (ต่างชาติ 2 คน คนไทย 1 คน) ทั้งหมดได้รับการรักษาจนหายดีแล้ว และไม่มีผู้เสียชีวิต
    กระทรวงสาธารณสุข ได้ดำเนินมาตรการเฝ้าระวังและควบคุมโรคอย่างเข้มงวด ทำให้สามารถควบคุมสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี เน้นการป้องกัน เนื่องจากโรคอหิวาตกโรคแพร่กระจายได้ง่าย ผ่านการบริโภคอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อน
    จึงต้องเน้นย้ำให้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการป้องกันอย่างเคร่งครัด เช่น กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ และเลือกบริโภคอาหารที่ปรุงสุกใหม่
    อาการ
    ผู้ป่วย จะถ่ายเป็นน้ำจำนวนมาก มีเนื้ออุจจาระน้อย เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันร่วมกับมีอาการและอาการแสดงของการขาดน้ำอย่างรวดเร็วและรุนแรง อาจมีคลื่นไส้ อาเจียน ส่วนใหญ่ไม่มีไข้ ไม่ปวดท้อง
    ในรายที่มีอาการรุนแรงและไม่ได้รับการรักษาผู้ป่วยอาจตายในเวลา 2-3 ชั่วโมง และอัตราป่วยตายสูงมากกว่าร้อยละ 50 แต่ถ้าได้รับการรักษาถูกต้องและทันท่วงที อัตราป่วยตายจะลดลงเหลือต่ำกว่าร้อยละ 1
    การควบคุม
    1. จัดให้มีการสุขาภิบาลในเรื่องการทำลายอุจจาระและการป้องกันแมลงวัน จัดที่สำหรับล้างมือในกรณีที่ไม่มีส้วม ควรกำจัดอุจจาระด้วยการฝัง และที่ฝังจะต้องห่างจากแหล่งน้ำดื่มน้ำดื่มควรต้มหรือใส่คลอรีน น้ำใช้ควรได้จากแหล่งที่สะอาด
    2. ควบคุมแมลงวันโดยใช้มุ้งลวด พ่นยาฆ่าแมลง หรือใช้กับดัก ควบคุมการขยายพันธุ์ด้วยการเก็บและทำลายขยะโดยวิธีที่เหมาะสม
    3. ระมัดระวังเรื่องความสะอาดของอาหาร ควรเลือกรับประทานอาหารที่ปรุงใหม่หรือแน่ใจว่าสะอาด การล้างมือก่อนรับประทานอาหาร
    4. นมหรือผลิตภัณฑ์นมควรผ่านการพาสเจอร์ไรซ์ หรือการต้มก่อน ให้คำแนะนำเรื่องการควบคุมการผลิต การเก็บรักษา และการจัดจำหน่ายให้ถูกสุขลักษณะ
    5. ควบคุมการผลิตอาหาร และเครื่องดื่มให้เหมาะสม ให้ใช้น้ำผสมคลอรีนในงานผลิตอาหารและเครื่องดื่ม
    6. ผู้ที่ต้องเดินทางไปยังท้องที่ ซึ่งมีความเสี่ยงในการติดโรคสูงอาจกินยาปฏิชีวนะ จะช่วยป้อง กันโรคได้ สำหรับระยะเวลาสั้นๆ เช่น ภายใน 2 สัปดาห์แต่เชื้ออาจดื้อยาได้
    7. การให้วัคซีนป้องกันโรคอหิวาตกโรคในขณะที่มีการระบาดปัจจุบันไม่แนะนำให้ใช้แล้วเพราะสามารถป้องกันได้เพียงร้อยละ 50 และมีอายุสั้นเพียง 3-6 เดือน สำหรับวัคซีนชนิดกินที่ให้ภูมิคุ้มกันสูงต่อเชื้ออหิวาต์สายพันธุ์ o1 ได้หลายเดือนมีใช้แล้วหลายประเทศ มีสองชนิด ชนิดแรกวัคซีนเชื้อยังมีชีวิตกินครั้งเดียว (สายพันธุ์ CVD 103-HgR) ส่วนชนิดที่สองเป็นเชื้อตายแล้วประกอบด้วยเชื้ออหิวาห์ตายแล้วกับ cholera toxin ชนิด B-subunit กิน 2 ครั้ง
    8. การป้องกันการระบาดในสถานเลี้ยงเด็กเล็ก โดยรักษาความสะอาดสถานที่ข้าวของเครื่องใช้ เจ้าหน้าที่ล้างมืออย่างสม่ำเสมอ แยกผู้ป่วยที่มีอาการอุจจาระร่วงและเพาะเชื้อหาสาเหตุของการป่วย
    9. มาตรการควบคุมการเคลื่อนย้ายประชากร อาหาร และสินค้าอื่นๆ ไม่นิยมทำนอกจากมีข้อ บ่งชี้ชัดเจน
    การป้องกันโรค
    • กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ
    • เป็นวิธีป้องกันโรคที่ง่ายที่สุดและมีประสิทธิภาพสูงสุด
    • เลือกบริโภคอาหารที่ปรุงสุกใหม่ หลีกเลี่ยงอาหารดิบหรือสุก ๆ ดิบ ๆ
    • ดื่มน้ำสะอาดที่ผ่านการต้มหรือน้ำบรรจุขวดรักษาความสะอาด
    • ล้างมือบ่อย ๆ โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหารและหลังเข้าห้องน้ำ
    • หากมีอาการผิดปกติควรปรึกษาแพทย์ทันที

    ฝุ่น PM2.5 ภัยอันตรายอาจจะกลายเป็น “มะเร็งปอด”

    ฝุ่น PM2.5 ภัยอันตรายอาจจะกลายเป็น “มะเร็งปอด”

    ฝุ่น PM2.5 ภัยอันตรายอาจจะกลายเป็น “มะเร็งปอด”
    สัปดาห์ที่ผ่านมา ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากฝุ่น PM2.5 ที่มีระดับพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในทุกพื้นที่ ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ตา และผิวหนัง เมื่อเจอกับสถานการณ์ฝุ่นแบบนี้ เพื่อป้องกันอันตรายต่อสุขภาพ
    เราจะมาคุยกับคุณหมอ...เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมรับมือกับสถานการณ์ฝุ่นตัวร้ายอย่างถูกต้อง และปลอดภัย
    รู้จัก PM 2.5
    PM 2.5 มาจากคำว่า Particulate matter ซึ่งคือ ฝุ่นที่มีขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน หรือขนาดประมาณ 1 ใน 25ของเส้นผ่าศูนย์กลางของเส้นผม เมื่อเราหายใจเอาฝุ่นเหล่านี้เข้าไป จะสามารถหลุดรอดการกรองจากจมูก และผ่านลงไปในถุงลมปอด เข้าสู่ระบบไหลเวียนโลหิตได้ ซึ่งส่งผลให้เกิดการอักเสบของระบบทางเดินหายใจ ระบบไหลเวียนโลหิต รวมถึงอวัยวะอื่นๆ นอกจากนี้มักพบสารก่อมะเร็งและโลหะหนักที่เป็นอันตรายเกาะอยู่ด้วย
    ฝุ่นละอองทำให้เกิดโรคอะไรได้บ้าง ?
    เราสามารถพบผู้ป่วยที่มีอาการดังต่อไปนี้
    • ไอ, จาม, มีน้ำมูก, เจ็บคอ, มีเสมหะ ภูมิแพ้, ไซนัส, หายใจลำบาก, เจ็บหน้าอก
    • หลอดลมอักเสบ, หายใจมีเสียงดังอึด ๆ, ปอดอักเสบเกิดพังผืด, โรคถุงลมโป่งพอง
    • โรคมะเร็งระบบทางเดินหายใจ และ มะเร็งปอด
    กลุ่มเสี่ยงและกลุ่มผู้ป่วย
    • ผู้สูงอายุ
    • เด็กเล็ก
    • ผู้ที่ใช้คอนแทคเลนส์
    • ผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับปอด และระบบทางเดินหายใจ
    อาการและผลกระทบ
    ระยะสั้น :
    ทำให้ระคายเคืองตา ตาแดง คัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ อาการภูมิแพ้และหอบหืดกำเริบ ทำให้ปอดอักเสบติดเชื้อง่ายขึ้น ผิวหนังอักเสบมีผื่นคันที่ผิวหนัง
    ระยะยาว :
    การทำงานของปอดแย่ลง เสี่ยงต่อโรคระบบทางเดินหายใจ โรคหัวใจ และ โรคหลอดเลือดสมอง เพิ่มความเสี่ยงการเกิดมะเร็งปอด ผิวหนังเหี่ยวย่นก่อนวัย
    การป้องกันวิธีการรับมือกับ ฝุ่นละอองขนาดเล็ก ทางราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ฯ ร่วมกับ 5 สมาคมวิชาชีพเวชกรรม ออกคำแนะนำการปฎิบัติตัวของประชาชนในช่วงวิกฤตฝุ่น PM2.5
    1. หมั่นตรวจสอบคุณภาพอากาศจากแหล่งข้อมูลของรัฐและเอกชนอย่างสม่ำเสมอ หรือใช้เครื่องวัดปริมาณฝุ่นแบบพกพา เพื่อวางแผนกิจวัตร ประจำวันให้เหมาะสมและให้หลีกเลี่ยงการสัมผัส สูด PM2.5 โดยการจัดให้มีพื้นที่ปลอดภัย (safety zone)
    2. เมื่อค่า PM2.5 ในขณะนั้น (ค่ารายชั่วโมง) ขึ้นสูงเกินเกณฑ์ คือ
      • สูงกว่า 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร กลุ่มเสี่ยงควรงดทำกิจกรรมกลางแจ้ง บุคคลทั่วไปควรลดและปรับเวลาทำกิจกรรมกลางแจ้ง โดยใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา
      • สูงกว่า 100 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ทุกคนควรงดทำกิจกรรมกลางแจ้ง ยกเว้นผู้ที่ต้องทำหน้าที่บริการสาธารณะกลางแจ้งให้ใส่หน้ากาก N95 ตลอดเวลา
      • สูงกว่า 150 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ทุกคนควรอยู่ในตัวอาคารซึ่งติดตั้งระบบระบายและฟอกอากาศที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ยกเว้นผู้ที่ต้องทำหน้าที่บริการสาธารณะกลางแจ้ง ให้ใส่หน้ากาก N95 ตลอดเวลา และจำกัดช่วงเวลาปฏิบัติงาน ไม่ให้เกินครั้งละ 60 นาที
    3. ขณะที่ปริมาณฝุ่นภายนอกขึ้นสูง ภายในตัวอาคารควรจัดให้มีระบบระบายและฟอกอากาศที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ
    4. การออกกำลังกายสม่ำเสมอ จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงลดโอกาสเจ็บป่วย แต่ขณะที่ปริมาณฝุ่นขึ้นสูงควรหลีกเลี่ยงหรือลดเวลาการออกกำลังกายกลางแจ้ง ตามระดับเตือนภัยในข้อ 2 หรือออกกําลังกายในร่มที่มีระบบระบายและฟอกอากาศที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ
    5. ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ จะช่วยเร่งการขับฝุ่น PM2.5 ที่เล็ดลอดเข้ากระแสเลือด ออกไปทางไตในรูปของปัสสาวะได้มากขึ้น
    6. การอยู่ในบริเวณที่มีต้นไม้ใบเขียว จะช่วยการดูดซับฝุ่นในอากาศได้เพิ่มมากขึ้น

    โรคไอกรน Pertussis

    โรคไอกรน

    Pertussis
    โรคไอกรนเป็นโรคติดต่อทางระบบทางเดินหายใจ เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Bordetella pertussis ซึ่งก่อโรคเฉพาะในคน ผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนกระตุ้นเป็นระยะจะมีโอกาสเป็นซ้ำได้ ในพื้นที่ที่มีความ ครอบคลุมในการฉีดวัคซีนต่ำ จะมีการระบาดได้ง่าย เช่น ในช่วงกลางปี 2567 มีการระบาดต่อเนื่องในภาคใต้เนื่องจากความครอบคลุมในการฉีดวัคซีนต่ำมาก
    การติดต่อ
    การติดต่อของโรคเกิดผ่านละอองฝอยไอหรือจามจากผู้ป่วย หรือผ่านการสัมผัสโดยตรงกับสารคัดหลั่งจาก
    ทางเดินหายใจของผู้ป่วย ระยะของการแพร่เชื้อเกิดขึ้นตั้งแต่ระยะที่ผู้ป่วยเริ่มมีอาการไอ มีน้ำมูก จนถึง 21 วัน
    หลังจากที่ผู้ป่วยมีอาการของโรค จะแพร่เชื้อได้สูงสุด ในระยะอาการหวัด
    อาการและอาการแสดง อาการของโรคไอกรนแบ่งได้เป็น 3 ระยะ ดังนี้
    1. ระยะอาการหวัด ผู้ป่วยจะมีอาการ มีน้ำมูก ไข้ต่ำ ๆ แยกยากจากไข้หวัดทั่วไป
    2. ระยะไอรุนแรง ผู้ป่วยจะมีอาการไอรุนแรงติดต่อกันเป็นชุด ตามด้วยการหายใจเข้าอย่างแรง จนเกิดเสียงวูบ บางรายอาจมีอาเจียน เขียวและหยุดหายใจ โดยเฉพาะผู้ป่วย เด็กเล็ก
    3. ระยะฟื้นตัว (Convalescent stage) ผู้ป่วยจะมีอาการไอและอาเจียนทุเลาลง หายไปใน 2-3 สัปดาห์ บางรายอาจมีอาการไอได้นานหลายสัปดาห์โดยรวมระยะของโรคทั้งหมดหากไม่มีโรคแทรกซ้อนจะใช้เวลาประมาณ 6-10 สัปดาห์
    ภาวะแทรกซ้อนของโรคไอกรนที่อาจพบในวัยรุ่นและในผู้ใหญ่ ได้แก่ ปอดอักเสบ น้ำหนักลด ไอจน
    รบกวนการนอน กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ กระดูกซี่โครงหัก โดยเฉพาะผู้สูงอายุอาจเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่เพิ่มขึ้น
    สำหรับในทารกโดยเฉพาะอย่างยิ่งทารกอายุน้อยกว่า 6 เดือน และยังได้รับวัคซีนไม่ครบ อาจมีอาการที่รุนแรงได้
    การให้วัคซีนป้องกันไอกรน
    วัคซีนป้องกันไอกรน มีทั้งชนิดวัคซีนเดี่ยวและชนิดวัคซีนรวมกับคอตีบและบาดทะยัก เด็กนักเรียนทุกคนควรได้รับวัคซีนที่แนะนําตามอายุให้ครบถ้วน ได้แก่
    1. อายุน้อยกว่า 6 ปี ควรรับวัคซีนให้ครบ โดยเป็นวัคซีนรวมที่มีคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน และอาจรวมวัคซีน ป้องกันเชื้ออื่นๆ ในเด็กเล็กด้วย เช่น DTP-HB-Hib จำนวน 5 โด๊ส ที่อายุ 2, 4, 6, 18 เดือน และ 4-6 ปี
    2. วัยรุ่น 10-12 ปี แนะนําให้ฉีดวัคซีนรวมคอตีบ บาดทะยัก ไอกรนชนิดไร้เซลล์สูตรเด็กโตและผู้ใหญ่ (Tdap/TdaP) กระตุ้น 1 โด๊ส หลังจากนั้นฉีดกระตุ้นต่อด้วย ด้วยวัคซีน dT/Tdap/TdaP ทุก 10 ปี
    3. ผู้ใหญ่ หากยังไม่เคยฉีดวัคซีนป้องกันไอกรนเข็มกระตุ้น แนะนําให้ฉีดวัคซีนรวม Tdap/TdaP กระตุ้น 1 โด๊ส จากนั้นแนะนําให้ฉีดวัคซีนรวม dT/Tdap/TdaP กระตุ้น ประมาณทุก 10 ปี แนะนําให้ฉีดเมื่ออายุลงท้ายด้วยเลข “0” เช่นที่อายุ 20, 30, 40, 50, 60, 70, 80 ปี
    4. หญิงตั้งครรภ์ แนะนําให้วัคซีนป้องกันไอกรนในหญิงตั้งครรภ์ทุกรายที่มีอายุครรภ์ตั้งแต่ 16 สัปดาห์ขึ้นไป
    5. ในกรณีที่มีเด็กทารกที่อายุน้อยกว่า 6 เดือน ในครอบครัว ควรให้ทุกคนในบ้านได้รับวัคซีนป้องกันไอกรน ตามที่แนะนําในข้างต้นให้ครบถ้วน เพื่อไม่ให้แพร่เชื้อไปยังทารก (Cocooning)
    ที่มา: ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย
    ข้อมูลเพิ่มเติม : คำแนะนำโรคไอกรนสำหรับประชาชน_รวกท..pdf
    วันที่: 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

    โปรแกรมและแพ็คเกจ

    นพ.เหรียญชัย นามมนตรี

    นพ.เหรียญชัย นามมนตรี
    ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ

    นพ.เหรียญชัย นามมนตรี

    RIANCHAI NAMMONTREE, M.D.
    Specialty
    • ศัลยกรรมกระดูกและข้อ

    Language Spoken
    • อังกฤษ, ไทย

    ปริญญาบัตรและสถาบันการศึกษา
    • แพทยศาสตรบัณฑิต (พ.บ.) คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
    • วุฒิบัตรศัลยศาตร์ออร์โอปิดิกส์ สถาบันราชวิถี กรมการแพทย์

    ตารางออกตรวจ
    วัน เวลา
    SUN 12:00 - 14:00

    นพ.เลอสรรพ์ ลือสุทธิวิบูลย์

    นพ.เลอสรรพ์ ลือสุทธิวิบูลย์
    อายุรแพทย์โรคไต

    นพ.เลอสรรพ์ ลือสุทธิวิบูลย์

    LERSAN LUESUTTHIVIBOON, M.D.
    Specialty
    • อายุรแพทย์โรคไต Nephrology

    Language Spoken
    • อังกฤษ, ไทย

    ปริญญาบัตรและสถาบันการศึกษา
    • ปริญญาบัตร แพทยศาสตรบัณฑิต (พ.บ.) คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย
    • วุฒิบัตร สาขาอายุรศาสตร์  คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า
    • วุฒิบัตรสาขาอายุรศาสตร์โรคไต คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า

    ตารางออกตรวจ
    วัน เวลา
    SUN 10:00 - 12:00

    โปรแกรมคัดกรองหัวใจและหลอดเลือด

    โปรแกรมคัดกรองหัวใจและหลอดเลือด

    Heart and blood vessel screening program

    โปรแกรมคัดกรองหัวใจและหลอดเลือด

    Heart and Blood Vessel Screening Program

    ราคาสุดพิเศษ 2,690.- รายการตรวจ 16 รายการ


    "เพราะหัวใจ มีดวงเดียว" ให้โรงพยาบาลบางโพ เป็นผู้ช่วยดูแลสุขภาพของคุณและครอบครัวที่คุณรัก

    โปรแกรมคัดกรองหัวใจและหลอดเลือด

    Heart and Blood Vessel Screening Program
    "Check กันหน่อย..คุณเสี่ยงเป็นโรคหัวใจแค่ไหน"
    กับโปรแกรมคัดกรองหัวใจและหลอดเลือด
    โรคหัวใจและหลอดเลือด (Heart Disease) กลุ่มโรคที่เกิดจากการทำงานผิดปกติของหัวใจ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ลิ้นหัวใจรั่ว ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรง หัวใจเต้นผิดจังหวะ เป็นต้น โรคหัวใจเป็น โรคเรื้อรังร้ายแรงที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของคนไทย และมีแนวโน้มว่าจะมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากปัจจัยหลายประการ เช่น กรรมพันธุ์ อายุ เพศ รวมถึงขาดการออกกำลังกาย น้ำหนักเกิน และพฤติกรรมการบริโภคอาหาร โดยผู้ป่วยมักจะเริ่มรู้ตัวเมื่ออาการของโรคหัวใจเข้าสู่ระยะรุนแรง เช่น แน่นหน้าอกอย่างรุนแรง ปวดร้าวไปยังหัวไหล่ แขนหรือกรามด้านซ้าย รู้สึกจุกแน่นที่บริเวณกลางอกหรือลิ้นปี่ ดังนั้น ผู้ป่วยโรคหัวใจควรได้รับการดูแลเรื่องการบริโภคอาหารและการดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม รวมถึงการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคอื่นๆ แทรกซ้อนได้
    "เพราะหัวใจ มีดวงเดียว" ให้เราเป็นผู้ช่วยดูแลสุขภาพของคุณและคนที่รัก
    ตรวจ 16 รายการ เพียง 2,690.-
    • ตรวจร่างกายทั่วไปโดยแพทย์ Physical Examination
    • ตรวจวัดความดันโลหิต,ชีพจร BP, Pulse
    • ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ EKG
    • ตรวจเอกซเรย์ปอดดิจิตอล Chest X-ray
    • ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด CBC
    • ตรวจหาระดับน้ำตาลในเลือด FBS
    • ตรวจหาระดับน้ำตาลสะสมในเลือด HbA1C
    • ตรวจสมรรถภาพการทำงานของตับ SGPT
    • ตรวจสมรรถภาพการทำงานของไต Creatinine
    • ตรวจหาระดับไขมันในเลือด Cholesterol
    • ตรวจหาระดับไขมันในเลือด Triglyceride
    • ตรวจหาระดับไขมันชนิดดีในเลือด HDL
    • ตรวจหาระดับไขมันชนิดไม่ดีในเลือด LDL
    • ตรวจความสมบูรณ์ของปัสสาวะ UA
    • ตรวจระดับฮอร์โมนไธรอยด์ TSH (Thyroid Stimulating Hormone)
    • ตรวจหาไลโพโปรตีน สารบ่งชี้ความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด Lipoprotein a
    รวมค่าแพทย์และค่าบริการโรงพยาบาลแล้ว
    การเตรียมตัวก่อนตรวจสุขภาพ
    • งดน้ำและอาหารก่อนเข้ารับการตรวจสุขภาพ 6 - 8 ชั่วโมง (จิบน้ำเปล่าได้)
    • ควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก่อนเข้ารับการตรวจ 24 - 48 ชั่วโมง
    • ไม่ควรสูบบุหรี่ ก่อนมารับการตรวจสุขภาพ เพราะจะทำให้ความดันโลหิตสูงเกินจากปกติ
    • ควรพักผ่อนให้เพียงพอ ก่อนเข้ารับการตรวจสุขภาพ หากอดนอนจะทำให้ผลการตรวจผิดปกติ โดยเฉพาะความดันโลหิต การเต้นของหัวใจ อุณหภูมิของร่างกาย อาจทำให้แพทย์ไม่สามารถประเมินได้ว่ามีความผิดปกติจริงหรือไม่
    • หากสงสัยว่าตั้งครรภ์กรุณาแจ้งพยาบาล ก่อนรับการตรวจ
    • สำหรับสุภาพสตรี ไม่ควรตรวจในช่วงที่มีประจำเดือน ควรตรวจหลังหมดประจำเดือน 7 วัน เพราะอาจมีผลต่อการแปรผล
    • หากรับประทานยาประจำ หรืออาหารเสริมบางชนิดอยู่ ควรแจ้ง แพทย์ก่อนตรวจสุขภาพ เพราะยาและอาหารเสริมบางชนิด มีผลต่อผลการตรวจเลือด ผลการตรวจปัสสาวะ หรือ ผลการตรวจอุจจาระ
    เงื่อนไขการเข้ารับบริการ
    • ราคาดังกล่าวรวมค่าแพทย์และค่าบริการโรงพยาบาลแล้ว
    • กรณีซื้อผ่าน online กรุณาใช้บริการภายในวันเวลาที่กำหนด 31 ธันวาคม 2567
    • กรุณานัดหมายก่อนเข้ารับบริการล่วงหน้าอย่างน้อย 1-2 วัน ที่ศูนย์ตรวจสุขภาพ โทร. 02-587-0144 ต่อ 2300 หรือ @line : @bangpohospital
    • ไม่สามารถใช้ร่วมกับโปรแกรมการส่งเสริมการขายอื่นๆ การเรียกเก็บจากบริษัทคู่สัญญา บริษัทประกันฯ รวมถึงส่วนลดอื่นๆได้
    • โรงพยาบาลขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงข้อกำหนด เงื่อนไข ราคา และอื่นๆ โดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
    วันนี้ - 30 มิถุนายน 2568

    โปรแกรมและแพ็คเกจ

    เพราะหัวใจต้องการคนดูแล

    การดูแลหัวใจให้แข็งแ […]

    การเสียชีวิตกะทันหันจากโรคหัวใจในนักกีฬาวัยรุ่น

    การเสียชีวิตกะทันหันจากโรคหัวใจในนักกีฬาวัยรุ่น

    การเสียชีวิตกะทันหันจากโรคหัวใจในนักกีฬาวัยรุ่น
    การเสียชีวิตกะทันหันจากโรคหัวใจเป็นภาวะที่หัวใจหยุดเต้นกะทันหันซึ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและไม่คาดคิด การหายใจและการไหลเวียนของเลือดหยุดลงทันที ภายในไม่กี่วินาที ผู้ป่วยจะหมดสติและเสียชีวิต
    การเสียชีวิตกะทันหันจากโรคหัวใจในผู้ที่ดูเหมือนมีสุขภาพดีและมีอายุต่ำกว่า 35 ปีนั้นพบได้น้อย โดยพบได้บ่อยในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ส่วนมากเกิดจากโรคหัวใจที่ไม่ได้รับการวินิจฉัย เช่น โรคกล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างซ้ายหนาตัวหรือหัวใจเต้นผิดจังหวะ ทางพันธุกรรม ซึ่งอาจทำให้คนหนุ่มสาวเสียชีวิตกะทันหันระหว่างทำกิจกรรมที่ต้องใช้แรง เช่น การแข่งขันกีฬา แต่การเสียชีวิตกะทันหันก็อาจเกิดขึ้นได้แม้ขณะที่พักหลับ
    ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันพบได้บ่อยเพียงใดในวัยรุ่น
    ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคหัวใจ อย่างไรก็ตามภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของนักกีฬาวัยรุ่น ในแต่ละปีมีนักกีฬาวัยรุ่นประมาณ 1 ใน 50,000-100,000 คน เสียชีวิตจากภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน
    อะไรเป็นสาเหตุของภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันในวัยรุ่น
    การเปลี่ยนแปลงของคลื่นไฟฟ้าหัวใจมักทำให้เกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน การเต้นของหัวใจที่เร็วมากทำให้ห้องหัวใจด้านล่างบีบตัวอย่างรวดเร็วและไม่ประสานกัน หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้ ภาวะหัวใจห้องล่างเต้นผิดจังหวะเป็นอันตรายถึงชีวิต ภาวะที่หัวใจทำงานหนักเกินไปหรือมีการทำลายเนื้อเยื่อหัวใจอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันได้
    โรคที่อาจเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตจากภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันในวัยรุ่น ได้แก่:
    • โรคกล้ามเนื้อหัวใจหนาผิดปกติ ภาวะทางพันธุกรรมนี้เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของการเสียชีวิตจากภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันในวัยรุ่น การหนาขึ้นนี้ทำให้หัวใจสูบฉีดเลือดได้ยาก
    • กลุ่มอาการ QT ยาวแต่กำเนิด ภาวะนี้อาจทำให้หัวใจเต้นเร็วและผิดจังหวะ นำมาซึ่งอาการเป็นลมโดยไม่ทราบสาเหตุและการเสียชีวิตกะทันหัน โดยเฉพาะในคนอายุน้อย
    • ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะอื่นๆ เช่น กลุ่มอาการบรูกาดา และกลุ่มอาการวูล์ฟ-พาร์กินสัน-ไวท์
    • การถูกกระแทกที่หน้าอกอย่างรุนแรง การบาดเจ็บที่หน้าอกจากของแข็งซึ่งทำให้เกิดการเสียชีวิตจากภาวะหัวใจหยุด เต้นเฉียบพลัน เรียกว่า commotio cordis ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะอาจเกิดขึ้นในนักกีฬาที่ถูกอุปกรณ์กีฬา หรือผู้เล่นคนอื่นกระแทกเข้าที่หน้าอกอย่างแรง
    การเสียชีวิตกะทันหันในวัยรุ่นสามารถป้องกันได้หรือไม่
    1. ควรเล่นกีฬาในศูนย์กีฬามาตรฐานที่มีเครื่องกระตุ้นหัวใจไฟฟ้าอัตโนมัติ (AED) เผื่อเหตุการณ์ฉุกเฉิน หากมีอาการหรือภาวะดังกล่าวข้างต้น
    2. แนะนำให้เข้ารับการตรวจคัดกรองที่แผนกอายุรกรรมเฉพาะทางโรคหัวใจ เพื่อตรวจหาโรคหัวใจที่อาจทำให้เกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันได้
    ใครควรได้รับการตรวจคัดกรอง
    ผู้ที่มีอาการหรือภาวะต่างๆดังต่อไปนี้
    1. เป็นลม/หมดสติ โดยเฉพาะเมื่อเกิดขึ้นระหว่างทำกิจกรรมหรือออกกำลังกาย
    2. เจ็บหน้าอก
    3. มีประวัติครอบครัวเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน

    โปรแกรมและแพ็คเกจ

    พญ.ภัสสร โชคสมนึก

    พญ.ภัคทิพา ภัทรโกศล
    อายุรกรรมโรคเลือด

    พญ.ภัสสร โชคสมนึก

    PHATSORN CHOKSOMNUK, M.D.
    Specialty
    • อายุรศาสตร์โลหิตวิทยา

    Language Spoken
    • อังกฤษ, ไทย

    ปริญญาบัตรและสถาบันการศึกษา
    • แพทยศาสตร์บัณฑิต (พ.บ.) คณะแพทยศาสตร์  มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์
    • วุฒิบัตร อายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
    • วว.อายุรศาสตร์โลหิตวิทยา คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหววิทยาลัยมหิดล

    ตารางออกตรวจ
    วัน เวลา
    SUN 09:00 - 12:00

    วัคซีนป้องกันไวรัส RSV

    วัคซีนป้องกันไวรัส RSV

    สำหรับผู้สูงอายุ 60 ปี ขึ้นไป หรือ 50 – 59 ปี ที่มีโรคร่วม

    9,500.-

    รวมค่าแพทย์และค่าบริการ
    • ป้องกันการติดเชื้อ RSV 82.6%
    • กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้สร้างแอนติบอดี ที่สามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัส
    • ลดความเสี่ยงการรักษาในโรงพยาบาล ลดการเกิดโรคแทรกซ้อนที่รุนแรง
      • โรคหลอดลมอักเสบและโรคปอดบวมจากไวรัส RSV

    วัคซีนป้องกันไวรัส RSV

    RSV Vaccine
    ในอดีต RSV เป็นไวรัสที่ไม่มีวัคซีนในการป้องกัน แต่ในปัจจุบัน มีการวิจัยพัฒนาวัคซีน RSV ขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี ค.ศ.2023 องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) ได้อนุมัติวัคซีน RSV ตัวแรกสำหรับผู้สูงอายุและสตรีมีครรภ์ นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาวัคซีนเพิ่มเติมและการศึกษาทางคลินิกที่กำลังดำเนินการเพื่อสร้างวัคซีนที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้นสำหรับกลุ่มประชากรที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ RSV
    ปัจจุบันในโรงพยาบาลบางโพมีวัคซีนที่เป็น Adjuvanted monovalent RSV vaccine (Arexvy) เป็นทางเลือกสำหรับผู้ต้องการรับวัคซีน RSV โดยข้อมูลในปัจจุบันแนะนำให้ฉีดเข้ากล้าม 1 เข็ม โดยไม่ต้องมีการฉีดกระตุ้น
    วัคซีนป้องกันไวรัส RSV
    สำหรับผู้สูงอายุ 60 ปี ขึ้นไป หรือ 50 - 59 ปี ที่มีโรคร่วม
    • ป้องกันการติดเชื้อ RSV 82.6%
    • กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้สร้างแอนติบอดี ที่สามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัส
    • ลดความเสี่ยงการรักษาในโรงพยาบาล ลดการเกิดโรคแทรกซ้อนที่รุนแรง
      • โรคหลอดลมอักเสบและโรคปอดบวมจากไวรัส RSV
    คำแนะนำในการฉีด
    ผู้ที่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงและประโยชน์ของการรับวัคซีน
    • ผู้ที่มีประวัติการแพ้ยาหรือวัคซีนอื่นๆ
    • ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือได้รับการรักษาด้วยยาที่กดระบบภูมิคุ้มกัน
    วันนี้ - 30 มิถุนายน 2568

    โปรแกรมและแพ็คเกจ

    RSV ไวรัส วายร้าย ในผู้สูงวัย ป้องกันด้วยวัคซีน

    RSV ไวรัส วายร้าย ในผู้สูงวัย ป้องกันด้วยวัคซีน

    RSV Vaccine
    การติดเชื้อไวรัส RSV (Respiratory Syncytial Virus)
    RSV เป็นไวรัสที่ทำให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจทั้งส่วนบนและส่วนล่าง เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญของโรคหลอดลมอักเสบ (Bronchiolitis) และปอดบวม (Pneumonia) โดยเฉพาะในเด็กเล็ก, ผู้สูงอายุ, ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง และผู้ที่มีโรคหัวใจหรือปอด โดยสามารถแพร่กระจายได้ง่ายผ่านการสัมผัสโดยตรงกับสารคัดหลั่งจากทางเดินหายใจ เช่น น้ำมูก น้ำลาย และผ่านละอองฝอยที่เกิดจากการไอหรือจาม
    โดยอาการจะคล้ายไข้หวัด เช่น ไอ มีไข้ น้ำมูกไหล เจ็บคอ คัดจมูก อาจมีอาการ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ในผู้สูงอายุและผู้ที่มีปัญหาสุขภาพเรื้อรัง อาจเกิดโรคแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ปอดบวม ปัจจุบันยังไม่มียาที่สามารถฆ่าไวรัส RSV ได้ การรักษาส่วนใหญ่เป็นการรักษาตามอาการ ถ้ามีอาการรุนแรงอาจด้วยการใช้ยาขยายหลอดลมหรือให้ออกซิเจน รวมถึงเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล
    การป้องกันการติดเชื้อ โดยการปฏิบัติเหมือนการป้องกันการติดเชื้อทางเดินหายใจอื่นๆ เช่น การล้างมือบ่อยๆ การสวมหน้ากากอนามัย หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มีอาการหวัด การฉีดวัคซีน RSV สำหรับกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ
    วัคซีน RSV
    ในอดีต RSV เป็นไวรัสที่ไม่มีวัคซีนในการป้องกัน แต่ในปัจจุบัน มีการวิจัยพัฒนาวัคซีน RSV ขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี ค.ศ.2023 องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) ได้อนุมัติวัคซีน RSV ตัวแรกสำหรับผู้สูงอายุและสตรีมีครรภ์ นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาวัคซีนเพิ่มเติมและการศึกษาทางคลินิกที่กำลังดำเนินการเพื่อสร้างวัคซีนที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้นสำหรับกลุ่มประชากรที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ RSV
    ปัจจุบันในโรงพยาบาลบางโพมีวัคซีนที่เป็น Adjuvanted monovalent RSV vaccine (Arexvy) เป็นทางเลือกสำหรับผู้ต้องการรับวัคซีน RSV โดยข้อมูลในปัจจุบันแนะนำให้ฉีดเข้ากล้าม 1 เข็ม โดยไม่ต้องมีการฉีดกระตุ้น
    ข้อบ่งชี้
    • ผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไป
    • ผู้มีอายุ 50-59 ปี แต่มีโรคร่วมที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการติดเชื้อรุนแรง เช่น โรคหัวใจ โรคปอดเรื้อรัง เบาหวาน โรคหลอดเลือดสมอง
    ประสิทธิภาพ
    1. ลดอัตราการติดเชื้อ RSV ที่มีอาการได้ 82.6%
    2. ลดอัตราการเกิดโรคหลอดลมอักเสบและปอดบวมได้ 94.6%
    3. ลดความรุนแรงของอาการในผู้ที่ติดเชื้อ และลดการรักษาในโรงพยาบาล
    4. ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคแทรกซ้อนที่รุนแรง
    ผลข้างเคียง
    ผลข้างเคียงทั่วไปที่พบได้บ่อยหลังจากการฉีดวัคซีน ได้แก่ ปวดบริเวณที่ฉีด อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ และมีไข้เล็กน้อย โดยส่วนใหญ่เป็นอาการที่ไม่รุนแรงและมักจะหายไปภายในไม่กี่วัน
    ข้อห้ามและข้อควรระวัง
    ผู้ที่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงและประโยชน์ของการรับวัคซีน
    1. ผู้ที่มีประวัติการแพ้ยาหรือวัคซีนอื่น ๆ หรืออย่างรุนแรงต่อส่วนประกอบใด ๆ ของวัคซีน
    2. ผู้ที่ป่วยหนักหรือมีไข้สูงควรเลื่อนการรับวัคซีนจนกว่าจะหายดี
    3. ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือได้รับการรักษาด้วยยาที่กดระบบภูมิคุ้มกัน
    4. หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร
    การดูแลหลังการรับวัคซีน
    • ควรติดตามอาการของตัวเอง หากมีอาการแพ้อย่างรุนแรง เช่น หายใจลำบาก บวมที่หน้าและคอ หรือลมพิษ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
    • ควรพักผ่อนและดื่มน้ำมากๆ เพื่อช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วขึ้น
    สรุป
    วัคซีนมีข้อห้ามและข้อควรระวังบางประการที่ผู้รับวัคซีนควรทราบ การปรึกษาแพทย์หรือผู้ให้บริการสุขภาพก่อนการรับวัคซีนเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้แน่ใจว่าการรับวัคซีนเป็นไปอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อไวรัส RSV

    โปรแกรมและแพ็คเกจ