นพ.ประพันธ์ วงศ์รุ่งโรจน์

นพ.ประพันธ์ วงศ์รุ่งโรจน์
ศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิกส์

นพ.ประพันธ์ วงศ์รุ่งโรจน์

PRAPHAN WONGRUNGROJ, M.D.
Specialty
  • ศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิกส์

Language Spoken
  • อังกฤษ, ไทย

ปริญญาบัตรและสถาบันการศึกษา
  • แพทยศาสตรบัณฑิต (พ.บ.)  คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
  • ออร์โธปิดิกส์ คณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี

ตารางออกตรวจ
วัน เวลา หมายเหตุ
THU 09.00-12.00 น.
17.00-20.00 น.
(สัปดาห์ที่ 2)
(สัปดาห์ที่ 1,3,5)

โรคสุดฮิตคุกคามชีวิตคนทำงาน ที่ควรระวัง

โรคสุดฮิตคุกคามชีวิตคนทำงาน ที่ควรระวัง

วัยทำงาน
วัยทำงาน คือ ช่วงอายุ 18-59 ปี กลุ่มคนเหล่านี้จะให้เวลากับการทำงาน 1 ใน 3 ของแต่ละวันคือ ประมาณ 8 ชั่วโมงต่อวัน วัยนี้หลายคนทำงานหนัก เนื่องจากภาระงานติดพันหรือด้วยปัจจัยทางเศรษฐกิจ ทำให้ต้องทำงานเกินเวลา ส่งผลให้ไม่มีเวลาที่จะดูแลสุขภาพของตนเองอย่างเหมาะสม พักผ่อนน้อย กินอาหารไม่มีประโยชน์ และขาดการออกกำลังกาย ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ ดังนั้นการดูแลสร้างเสริมสุขภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญ
โรควัยทำงาน หมายถึง สภาวะที่เกิดขึ้นจากการทำงานอย่างต่อเนื่องนานๆ โดยเฉพาะงานที่ต้องนั่งหรือยืนอยู่เป็นเวลานานๆ หรือทำงานที่ต้องใช้แรงงานหนัก ซึ่งหลายประเภท โดยอาการและผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจขึ้นอยู่กับลักษณะของงานและวิถีชีวิตของแต่ละบุคคล ดังนี้
  1. อาการปวดเรื้อรัง
    ออฟฟิศซินโดรม โรคที่เกิดจากการนั่งทำงานท่าเดิมๆ เป็นเวลานาน ทำให้เกิดอาการปวดกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ในร่างกาย เช่น ปวดหลัง ปวดข้อ ปวดคอ รวมถึงอาการเจ็บปวดจากการใช้กล้ามเนื้อมากเกินไป เช่น อ่อนเพลีย อ่อนแรง คลื่นไส้ หรือหมดแรงงาน
  2. อาการสำหรับสุขภาพจิต
    ความเครียดสะสม วิตกแห่งอารมณ์ ภาวะซึมเศร้า สาเหตุส่วนใหญ่มาจากการทำงาน อาจเกิดจากความเครียดในการทำงาน รวมถึงความกดดันในเรื่องต่างๆ ด้านจิตใจหรือความเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่มีผลต่อจิตใจอย่างรุนแรง ก็ทำให้มีแนวโน้มที่จะเกิดอาการซึมเศร้าได้ง่าย
  3. อาการที่เกิดกับสายตาและการมองเห็น
    หรือใช้สายตามองจอคอมพิวเตอร์นานๆ ทำให้มีผลต่อดวงตา แสบตา ไม่สบายตา เกิดอาการระคายเคืองตา เจ็บตา ตาพร่าจากการจ้องมองที่ไม่ค่อยกระพริบตา เป็นผลให้มีอาการตาแห้ง
  4. อาการทางสมอง
    ไมเกรน บ้านหมุน สมองเสื่อม อัลไซเมอร์ เป็นโรคใกล้ตัวคนวัยทำงาน มีความเครียดเป็นสาเหตุหลัก เนื่องจากสมองเป็นศูนย์กลางที่ควบคุมการทำงานของร่างกายทุกส่วน เมื่อระบบประสาทและสมองมีปัญหา ก็จะส่งผลต่อระบบอื่น ๆ ในร่างกายด้วยเช่นกัน มักมีอาการตาพร่า กล้ามเนื้ออ่อนแรง การคิด การทำ การพูด การทรงตัวผิดปกติ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ก็จะทำให้พิการได้
  5. อาการเกี่ยวกับทางเดินอาหาร
    กรดไหลย้อน กระเพาะอาหารอักเสบ
    โรคที่เกิดจากพฤติกรรมการรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา หรือเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด ผลระยะยาวของโรคนี้ อาจนำพาไปสู่การเกิดมะเร็งได้
  6. อาการเกี่ยวกับทางเดินปัสสาวะ
    กระเพาะปัสสาวะอักเสบ โรคที่เกิดจากการอั้นปัสสาวะเป็นเวลานาน เนื่องจากการนั่งทำงานเป็นเวลานาน ส่วนใหญ่เกิดในผู้หญิง
จากรายงานสุขภาพคนไทย 2566 พบว่าคนไทยวัยทำงานมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพดังนี้
  1. การสูบบุหรี่
    • 1 ใน 5 คนวัยทำงาน สูบบุหรี่ทุกวัน
    • กลุ่มลูกจ้างเอกชน และผู้ทำงานส่วนตัว มีอัตราการสูบบุหรี่ทุกวันสูงที่สุด
    • การสูบบุหรี่เพิ่มความเสี่ยงต่อโรค NCDs เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็งปอด โรคถุงลมปอดอุดกั้นเรื้อรัง
  2. การบริโภคแอลกอฮอล์
    • 1 ใน 4 คนวัยทำงาน ดื่มแอลกอฮอล์ทุกสัปดาห์
    • กลุ่มนายจ้าง ดื่มแอลกอฮอล์ทุกวันสูงที่สุด
    • การดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มความเสี่ยงต่อโรค NCDs เช่น โรคตับ โรคหัวใจ โรคมะเร็ง
  3. การบริโภคอาหาร
    • คนวัยทำงาน กินอาหารที่มีรสหวาน มัน เค็ม สูง
    • แหล่งอาหารหลักมาจากแป้งขัดขาว น้ำตาล และไขมันอิ่มตัว
    • การกินอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เพิ่มความเสี่ยงต่อโรค NCDs เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ
  4. กิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ
    • คนวัยทำงาน กว่า 80% มีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ
    • ขาดการออกกำลังกายเป็นประจำ
    • การไม่ออกกำลังกาย เพิ่มความเสี่ยงต่อโรค NCDs เช่น โรคอ้วน โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคกระดูกพรุน
การรักษาและการป้องกัน
การรักษาโรควัยทำงานมักเน้นการป้องกันและการบริหารจัดการอาการ รวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทำงานและการพักผ่อน การออกกำลังกายและการดูแลสุขภาพที่ดี เช่น การฝึกหัดการทำงานโดยไม่กดดันตัวเองมากเกินไป การนั่งหรือยืนในท่าที่ถูกต้อง เพื่อลดการกดทับบริเวณต่างๆ ของร่างกาย การควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์สมส่วน และการดูแลสุขภาพจิตอย่างเหมาะสม เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรควัยทำงานและเพื่อรักษาสุขภาพที่ดีในระยะยาว
การปรับตัวเพื่อลดความเสี่ยงในการเป็นโรควัยทำงานและการบริหารจัดการอาการอาจประกอบด้วยวิธีต่อไปนี้
  1. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทำงาน
    • ให้ความสำคัญกับการใช้ท่าทางที่ถูกต้องในการทำงาน เช่น การนั่งหรือยืนในท่าที่สมบูรณ์แบบ เพื่อลดการกดทับบริเวณต่างๆ ของร่างกาย
    • มีการพักผ่อนที่เพียงพอระหว่างการทำงาน เพื่อให้ร่างกายมีโอกาสในการฟื้นตัว
    • ป้องกันการทำงานนานเกินไปโดยการแบ่งงานหรือการใช้ช่วงเวลาพักที่เหมาะสม กรณีใช้คอมพิวเตอร์ให้หลับตาทุก 10 นาทีต่อการทำงาน 1 ชั่วโมง หรือพักทุก 15 นาทีต่อการทำงานต่อเนื่อง 2 ชั่วโมง
  2. การออกกำลังกายและการดูแลสุขภาพ
    • มีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อและรักษาสุขภาพของร่างกาย
    • ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
    • รักษาการรับประทานอาหารที่มีคุณค่าโภชนาการเพียงพอ และหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่มีส่วนผสมที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เช่น อาหารไม่สุขภาพ อาหารเสริมที่ไม่จำเป็น
  3. การบริหารจัดการสุขภาพจิต
    • ให้ตัวเองเวลาในการพักผ่อนและทำกิจกรรมที่ช่วยในการผ่อนคลาย เช่น การทำโยคะ การฝึกสติ หรือการอ่านหนังสือ
    • พูดคุยกับคนที่ไว้วางใจหรือคนที่สามารถให้การสนับสนุนที่ดีต่อสุขภาพจิต
    • หากมีปัญหาทางจิตใจที่รุนแรง ควรพบประสบการณ์อาจารย์หรือนักจิตวิทยาเพื่อคำปรึกษาและการรักษา
  4. การใช้เครื่องมือช่วย
    • ใช้เครื่องมือที่ช่วยลดการบริโภคแรงงาน และลดการทำงานที่ต้องใช้แรงมาก เช่น รถเข็นของหนัก เก้าอี้ที่สามารถปรับระดับได้ เป็นต้น
    • ใช้เครื่องมือที่ช่วยในการป้องกันอันตรายในการทำงาน เช่น หูฟังป้องกันเสียงดัง หรือหน้ากากป้องกันฝุ่น
    • ไม่ควรใช้คอมพิวเตอร์ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานๆ ควรจัดสถานที่ตั้งคอมพิวเตอร์ในที่ที่มีแสงสว่างพอเหมาะ โดยเฉพาะจอภาพ แป้นพิมพ์ และที่วางเอกสาร เป็นต้น จะช่วยให้สบายตา หรืออาจใช้หลอดไฟโซเดียมเพื่อให้แสงสว่าง ใช้แผ่นกรองแสงเพื่อลดแสงจ้าและแสงสะท้อน จะช่วยลดความล้าของสายตาลงได้
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการใช้เครื่องมือช่วยนี้จะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรควัยทำงานและช่วยให้ร่างกายและจิตใจมีสุขภาพดีในระยะยาว

โปรแกรมและแพ็คเกจ

โรคพาร์กินสัน PARKINSON’S DISEASE

โรคพาร์กินสัน

PARKINSON’S DISEASE
11 เมษายนเป็นวันโรคพาร์กินสันโลก (World Parkinson’s Disease Day) โรคทางสมองพบแพทย์เร็ว ช่วยชะลอความรุนแรงของโรคได้
โรคพาร์กินสัน (PARKINSON’S DISEASE)
โรคพาร์กินสัน หรือ โรคสั่นสันนิบาต เป็นโรคทางสมองที่เกิดจากเซลล์สมองในบางตำแหน่งตายโดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด จึงทำให้ "โดพามีน" สารสื่อประสาทในสมองซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายตายและลดจำนวนลง ทำให้ร่างกายของผู้ป่วยเกิดอาการสั่น โรคความเสื่อมของระบบประสาท พบได้บ่อยในผู้สูงอายุที่มีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป พบได้ในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง 1.5 เท่า เกิดจากสารเคมีในสมองที่เรียกว่าโดปามีน (Dopamine) ลดลง เพราะมีความเสื่อมตายของเซลล์ในสมอง สารโดปามีนมีความสำคัญในการควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ เมื่อสารโดปามีนลดลงจึงเกิดความผิดปกติในการเคลื่อนไหว เช่น มีอาการสั่น เคลื่อนไหวช้า เดินซอย แขนขาเกร็ง เคลื่อนไหวร่างกายช้าและสูญเสียการทรงตัว ซึ่งอาการเหล่านี้จะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปและทวีความรุนแรงขึ้นอย่างช้าๆ ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด แต่หากได้รับการวินิจฉัยโรคและรับการดูแลตั้งแต่เนิ่นๆ จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะช่วยชะลออาการของโรคและทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้
อาการ แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่คือ
  1. กลุ่มอาการผิดปกติของการเคลื่อนไหว (Motor symptoms)
  2. กลุ่มอาการที่ไม่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหว (Non-Motor symptoms)
กลุ่มอาการผิดปกติของการเคลื่อนไหว (Motor symptoms) มักเป็นอาการแรกเริ่มของผู้ป่วยพาร์กินสัน
  1. อาการเคลื่อนไหวช้า (Bradykinesia) ผู้ป่วยจะเดินช้า เริ่มก้าวลำบาก เมื่อก้าวเดินแล้วจะซอยเท้าถี่ๆ ก้าวเท้าตามปกติไม่ค่อยได้
  2. อาการแข็งเกร็ง (Rigidity) เป็นอาการแข็งเกร็งที่เกิดกับแขนหรือขาข้างที่มีอาการสั่น ทำให้เคลื่อนไหวได้ช้า เขียนหนังสือลำบาก ตัวหนังสือที่เขียนจะเล็กลงและชิดติดกัน
  3. มีการสูญเสียการทำงานของมือ การเคลื่อนไหวแขนจะน้อย เช่น เวลาเดินจะไม่แกว่งแขน และกล้ามเนื้อใบหน้าไม่มีการเคลื่อนไหวทำให้ดูหน้าตาย ไม่แสดงอารมณ์ที่ใบหน้า
  4. สูญเสียการทรงตัว โดยเฉพาะเวลาเดินจะทรงตัวไม่ได้ ผู้ป่วยจะโน้มตัวไปข้างหน้า ขาดความสมดุลในการทรงตัว ทำให้ผู้ป่วยหกล้มได้ง่าย
กลุ่มอาการที่ไม่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหว (Non-Motor symptoms)
เช่น อาการหลงลืม ขี้กังวล เหนื่อยล้าง่าย เหงื่อออกมาก ท้องผูก การเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ เป็นต้น
การวินิจฉัย
แพทย์จะวินิจฉัยว่าเป็นโรคพาร์กินสันจากประวัติ อาการ และจากการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เพื่อแยกโรคอื่นๆ ที่มีอาการคล้ายกัน เช่น การตรวจภาพของสมองด้วย MRI (Magnetic resonance imaging) หรือตรวจด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น เครื่อง SPECT (Single-photon emission computed tomography) หรือเครื่อง PET (Positron emission tomography) เป็นต้น
การรักษา
  1. รับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง เป้าหมายการรักษาคือการควบคุมอาการต่างๆ โดยการเพิ่มสารโดปามีน เข้าไปในสมอง ด้วยการให้รับประทานยาที่มีผลเพิ่มสารโดปามีน เช่น ลีโวโดปา (levodopa) ในบางรายแพทย์อาจจะพิจารณาการผ่าตัดสมอง
  2. รับประทานอาหารที่เหมาะสมให้ครบ 5 หมู่ แต่ระวังไม่ควรรับประทานอาหารโปรตีนมากเกินไป เพราะจะทำให้การดูดซึมของยาลีโวโดปาลดลง รับประทานอาหารที่มีเส้นใยไฟเบอร์ เพื่อลดอาการท้องผูก เมื่อมีปัญหาการกลืนต้องปรับเป็นอาหารอ่อน ให้กินทีละน้อยแต่บ่อยขึ้น
  3. การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้การเคลื่อนไหวดีขึ้น ช่วยในการทรงตัว ช่วยให้การทำกิจวัตรประจำวันดีขึ้น โดยรับการแนะนำและฝึกฝนจากนักกายภาพบำบัด นักกิจกรรมบำบัด เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีรายงานการรำไทเก็ก ช่วยให้ผู้ป่วยพาร์กินสัน เคลื่อนไหวและทรงตัวได้ดีขึ้น และการร้องเพลงประสานเสียงยังช่วยให้ผู้ป่วยพูดได้คล่องขึ้นแก้ปัญหาการพูดติดขัดได้
  4. การปรับสิ่งแวดล้อมภายในบ้าน เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตได้สะดวกมากขึ้น เช่น การมีราวให้มือจับเวลาเคลื่อนไหว เพื่อป้องกันการหกล้ม ภายในบริเวณบ้านควรมีแสงสว่างที่เพียงพอ ระวังอย่าให้พื้นภายในบ้านเปียกชื้น ควรมีแผ่นยางกันลื่น ห้องน้ำควรมีโถชักโครก เป็นต้น
ผู้ป่วยพาร์กินสัน ยังคงมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ ถ้าติดตามการรักษากับแพทย์อย่างสม่ำเสมอ รับประทานยาตรงตามที่แพทย์สั่ง รับประทานอาหารที่เหมาะสมและออกกำลังกายเป็นประจำ หลีกเลี่ยงบริเวณที่มีความเสี่ยงที่จะทำให้หกล้ม ทำงานอดิเรกที่ชอบได้ เช่น การวาดรูป จะเป็นการช่วยฝึกการเคลื่อนไหวของมือ และทำให้เกิดความเพลิดเพลินได้
หากคุณสงสัยว่าจะเป็นโรคนี้ ขอแนะนำให้รีบไปพบแพทย์ เพราะการรักษาแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้ผลการรักษาดีขึ้น

โปรแกรมและแพ็คเกจ

โปรแกรมตรวจสุขภาพสำหรับเด็ก

โปรแกรมตรวจสุขภาพสำหรับเด็ก


การตรวจสุขภาพเด็กในทุกช่วงวัยเป็นสิ่งสำคัญ เพราะแต่ละช่วงวัยจะมีการพัฒนาการ และความแข็งแรงสมบูรณ์ของร่างกายที่แตกต่างกันออกไป การตรวจสุขภาพจึงเป็นการประเมินการเจริญเติบโตและติดตามเฝ้าระวังด้านพัฒนาการเป็นระยะๆ

โปรแกรมตรวจสุขภาพสำหรับเด็ก

Health check program for children
การตรวจสุขภาพเด็กในทุกช่วงวัยเป็นสิ่งสำคัญ เพราะแต่ละช่วงวัยจะมีการพัฒนาการ และความแข็งแรงสมบูรณ์ของร่างกายที่แตกต่างกันออกไป การตรวจสุขภาพเป็นการประเมินการเจริญเติบโตและติดตามเฝ้าระวังด้านพัฒนาการเป็นระยะๆ ทั้งโภชนาการที่สมกับวัย รวมถึงสุขภาพสายตาและสุขภาพฟัน โดยเฉพาะในส่วนของสมอง ซึ่งหากเกิดความผิดปกติเกิดขึ้นในระยะนี้ จะส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโต และสติปัญญาในระยะยาว หากพบความผิดปกติแพทญ์จะช่วยให้ดูแลรักษาได้ทันท่วงที
รายการตรวจ
Program
1
Program
2
Program
3
Program
4
ตรวจสุขภาพทั่วไปโดยแพทย์
(Physical Examination)
ตรวจวัดระดับการมองเห็น
(Visual acuity หรือ VA)
เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
ตรวจสุขภาพฟัน
เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
ตรวจวัดค่าดัชนีมวลกาย
(BMI)
ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด
(CBC)
ตรวจสมรรถภาพการทำงานของไต
(BUN, Creatinine)
ตรวจสมรรถภาพการทำงานของตับ
(SGOT, SGPT, Alk)
ตรวจปัสสาวะสมบูรณ์แบบ
(UA)
ตรวจหาเชื้อไวรัสตับอับเสบ บี
(HBsAg)
ตรวจหาภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบ บี
(HBsAb)
ตรวจไธรอยด์ฮอร์โมน
(TSH, FT4)
ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด
(FBS)
ตรวจวัดระดับไขมันในเลือด - โคเลสเตอรอล
(Cholesterol)
ตรวจวัดระดับไขมันในเลือด -ไตรกลีเซอร์ไรด์
(Trglyceria)
ตรวจหาไขมันโคเลสเตอรอลชนิดดี
(HDL-C)
ตรวจหาไขมันโคเลสเตอรอลชนิดเลว
(LDL-C)
ราคาปกติ
2,388.-
2,988.-
3,480.-
4,560.-
ราคาแพ็กเกจ
1,990.-
2,490.-
2,900.-
3,800.-
รวมค่าแพทย์และค่าบริการโรงพยาบาล
วันนี้ - 31 ธันวาคม 2567

โปรแกรมและแพ็คเกจ

โปรแกรมตรวจสุขภาพสำหรับเด็ก

โปรแกรมตรวจสุขภาพสำห […]

วัคซีนปัองกันโรคมือ เท้า ปาก (EV71)

วัคซีนป้องกันโรคมือเ […]

ปกป้องคุณและคนที่คุณรักด้วยวัคซีนทุกช่วงวัย

โปรชื่นมื่น ปกป้องคุณและคนที่คุณรัก ด้วยวัคซีน

"ปกป้องคุณและคนที่คุณรัก ด้วยวัคซีนทุกช่วงวัย"


การฉีดวัคซีนเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันโรค ลดความเสี่ยงในการพักรักษาโรงพยาบาล และลดค่าใช้จ่าย ในการรักษา การฉีดวัคซีนไม่ใช่เฉพาะเด็กเท่านั้นที่ควรได้รับ ผู้ใหญ่ก็เช่นกัน วัคซีนอาจไม่ไกลตัวอย่างที่คุณคิด เพราะโรคติดเชื้อหลายชนิดป้องกันได้ถ้าคุณมีภูมิต้านทานที่ดี การได้รับวัคซีนที่ถูกต้องเหมาะสม สามารถปกป้องคุณและคนที่คุณรักได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดัน โรคหัวใจ เป็นต้น

แพ็คเกจวัคซีนทุกช่วงวัย

สำหรับทุกช่วงวัย
แพทย์แนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรค การฉีดวัคซีนป้องกัน ช่วยให้บรรเทาอาการของโรคและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง นอกจากนี้ยังลดโอกาสเสี่ยงการแพร่กระจายเชื้อไปสู่คนอื่น ในวัยผู้ใหญ่ภูมิคุ้มกันจะลดลงตามอายุที่มากขึ้น จึงต้องมีการกระตุ้นด้วยการฉีดวัคซีน หรืออาจจะเป็นเพราะเชื้อโรคนั้นมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง หรือสายพันธุ์ใหม่ เช่น ไข้หวัดใหญ่ ซึ่งเป็นโรคที่ติดต่อได้ง่ายและระบาดเป็นประจำ โดยเฉพาะผู้สูงอายุและเด็กเล็กจะมีความรุนแรง อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ มากกว่าคนในวัยหนุ่มสาว
รายการ
ราคา
วัคซีนไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์
สำหรับผู้ที่มีอายุ 7 เดือนขึ้นไป
ควรฉีดป้องกันปีละ 1 ครั้ง (กรณียังไม่รับวัคซีนมาก่อนแนะนำให้ฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 1 เดือน)
849.-
รวมค่าแพทย์
และค่าบริการโรงพยาบาล
วัคซีนไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์ High Dose
สำหรับผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป
ควรฉีดป้องกันปีละ 1 ครั้ง
2,500.-
รวมค่าแพทย์
และค่าบริการโรงพยาบาล
วัคซีนไข้เลือดออก
สำหรับผู้ที่มีอายุ 4 ปี - 60 ปี
สามารถฉีดได้ทั้งคนที่เคยเป็น และไม่เคยเป็นโรคไข้เลือดออกฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 3 เดือน
4,777.-
รวมค่าแพทย์
และค่าบริการโรงพยาบาล
วัคซีนสุกใส (1 เข็ม)
สำหรับผู้ที่มีอายุ 1 ปี
ควรฉีดในผู้ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนหรือไม่เคยเป็นอีสุกอีใสมาก่อน ห่างกันอย่างน้อย 4-8 สัปดาห์
1,700.-
ไม่รวมค่าแพทย์
และค่าบริการโรงพยาบาล
วัคซีนตับอักเสบ บี - [1 เข็ม]
สำหรับเด็กแรกเกิด และทุกช่วงวัยที่มีความเสี่ยง
โดยแพทย์จะพิจารณาตรวจภูมิคุ้มกันก่อนให้วัคซีน
660.-
ไม่รวมค่าแพทย์
และค่าบริการโรงพยาบาล
วัคซีนตับอักเสบ บี - [3 เข็ม]
สำหรับเด็กแรกเกิด และทุกช่วงวัยที่มีความเสี่ยง
โดยแพทย์จะพิจารณาตรวจภูมิคุ้มกันก่อนให้วัคซีน
1,980.-
ไม่รวมค่าแพทย์
และค่าบริการโรงพยาบาล
วัคซีนตับอักเสบ เอ - [1 เข็ม]
สำหรับผู้ที่มีอายุ 1 ปี 6 เดือนขึ้นไป
ฉีด 1 เข็ม
1,200.-
ไม่รวมค่าแพทย์
และค่าบริการโรงพยาบาล
วัคซีนตับอักเสบ เอ - [1 เข็ม] + บี - [3 เข็ม]
แพทย์จะพิจารณาตรวจภูมิคุ้มกันก่อนให้วัคซีน
3,190.-
ไม่รวมค่าแพทย์
และค่าบริการโรงพยาบาล
วัคซีนบาดทะยัก - [1 เข็ม]
สำหรับผู้ที่มีอายุ 10 ปีขึ้นไป และกระตุ้นทุก 10 ปี
360 - 420.-
ไม่รวมค่าแพทย์
และค่าบริการโรงพยาบาล
วัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบ
ผู้สำหรับผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป
หรือ ในผู้ป่วยอายุ 19 - 59 ปีที่มีโรคดังต่อไปนี้
  • โรคหัวใจ
  • โรคหอบหืด
  • โรคตับแข็ง
  • โรคไตวายเรื้อรัง
  • ผู้ป่วยโรคเบาหวาน
ฉีด 1 เข็มป้องกันตลอดชีวิต
3,250.-
ไม่รวมค่าแพทย์
และค่าบริการโรงพยาบาล
วัคซีนงูสวัด - SKYZoster
สำหรับผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป
5,555.-
รวมค่าแพทย์
และค่าบริการโรงพยาบาล
วัคซีนงูสวัด - RZV(ชนิดใหม่)
สำหรับผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป
ฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 2 – 6 เดือน
1 เข็ม - 5,990.-
2 เข็ม - 11,900.-
รวมค่าแพทย์
และค่าบริการโรงพยาบาล
วัคซีนมะเร็งปากมดลูก(HPV vaccine)
แบบ 4 สายพันธ์ุ - [2 เข็ม]
  • สำหรับผู้ที่มีอายุ 9 - 14 ปี
แบบ 4 สายพันธ์ุ - [3 เข็ม]
  • สำหรับผู้ที่มีอายุ 15 - 26 ปี
แบบ 9 สายพันธ์ุ - [2 เข็ม]
  • สำหรับผู้ที่มีอายุ 9 - 14 ปี
แบบ 9 สายพันธ์ุ - [3 เข็ม]
  • สำหรับผู้ที่มีอายุ 15 - 26 ปี
5,900 - 18,500.-
รวมค่าแพทย์
และค่าบริการโรงพยาบาล
ปกป้องคุณและคนที่คุณรัก ด้วยวัคซีนทุกช่วงวัย

รายละเอียดเพิ่มเติม

วัคซีนไข้หวัดใหญ่ (Influenza Vaccine)
ไข้หวัดใหญ่ เป็นโรคที่ติดต่อได้ง่ายและระบาดเป็นประจำ โดยไข้หวัดใหญ่ในผู้สูงอายุจะมีความรุนแรงกว่าคนอายุน้อย และเกิดภาวะแทรกซ้อนได้บ่อย และคนที่มีโรคประจำตัว เช่น ปอดอักเสบ ภาวะหัวใจขาดเลือด และภาวะหัวใจวาย มีอัตราการนอนโรงพยาบาล และอัตราการเสียชีวิตสูง
แนะนำฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ เป็นประจำทุกปี ปีละครั้งในสายพันธุ์ ที่ระบาดในปีนั้น ในช่วงปลายฤดูฝนถึงช่วงฤดูหนาว
วัคซีนมะเร็งปากมดลูก(HPV vaccine)
มะเร็งปากมกลูกมีสาเหตุจากการติดเชื้อ ซึ่งเป็นการติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การตรวจแปปสเมียร์ เป็นการตรวจหาความผิดปกติของปากมดลูก ไม่เพียงแต่เพศหญิงแค่นั้นที่ติดโรคเชื้อไวรัสเอชพีวีได้ ผู้ชายก็สามารถติดเชื้อชนิดนี้ได้เช่นกัน ปัจจุบันเราสามารถลดช่องความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งได้อย่างไม่ยากเย็นด้วยการฉีดป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูก (HPV)
แนะนำฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ เป็นประจำทุกปี ปีละครั้งในสายพันธุ์ ที่ระบาดในปีนั้น ในช่วงปลายฤดูฝนถึงช่วงฤดูหนาว
อายุ 9-14 ปี 11 เดือน ฉีด 2 เข็ม
อายุ 15-45 ปี ฉีด 3 เข็ม
สามารถป้องกันการติดเชื้อภายใน 1 เดือน หลังจากได้รับวัคซีนครบ 3 เข็ม
วัคซีนไวรัสตับอักเสบ เอ(Hepatitis A Vaccine)
เป็นโรคตับที่เกิดจากเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดเอ ซึ่งมักจะพบในอุจจาระของคนที่เป็นโรคตับอักเสบเอ และมักจะติดต่อโดยการใกล้ชิดกับคนที่เป็น หรือจากการรับประทานอาหาร หรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสตับอักเสบเออยู่ ผู้ที่เป็นโรคตับอักเสบเอ สามารถแพร่เชื้อให้กับบุคคลใกล้ชิดได้ง่าย
ฉีดได้ตั้งแต่ 1 ปี 6 เดือนขึ้นไป และในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป
วัคซีนโรคปอดอักเสบ (Pneumococcal Vaccine)
เชื้อแบคทีเรียนิวโมคอคคัส เป็นเชื้อที่มีความรุนแรงสูง และเป็นสาเหตุหลักของโรคปอดอักเสบ รวมถึงเป็นสาเหตุของไซนัสอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ สำหรับผู้สูงอายุ และผู้ทีมีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคปอด โรคหัวใจ โรคตับ โรคไต โรคมะเร็ง ผู้ติดเชื้อ HIV ผู้ที่ได้รับยากดภูมิ และผู้ป่วยที่ไม่มีม้าม อาจติดเชื้อรุนแรงถึงขั้นเยื่อหุ้มสมองอักเสบ และติดเชื้อในกระแสเลือด
ควรฉีดวัคซีนโรคปอดอักเสบ คือ ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป หรือในผู้ป่วยอายุ 19-64 ปีที่มีโรคหัวใจ โรคหอบหืด โรคถุงลมโป่งพอง โรคตับแข็ง โรคไตวายเรื้อรัง ผู้ป่วยโรคเบาหวาน
วัคซีนอีสุกอีใส Varicella (Chicken pox)
โรคอีสุกอีใสเป็นโรคติดเชื้อที่ผู้ป่วยมักมีอาการไม่รุนแรง โดยเฉพาะในเด็กเล็ก แต่บางครั้งอาจมีอาการรุนแรงได้ ทำให้เกิดภาวะปอดอักเสบ และภาวะสมองอักเสบ อาจทำให้ผู้ป่วยมีความพิการหรือเสียชีวิต มีภาวะแทรกซ้อน สำหรับเด็กเล็ก เด็กโต ผู้ใหญ่ ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง และหญิงตั้งครรภ์
แนะนำให้ฉีดในผู้ที่ไม่เคยมีประวัติเป็นโรคอีสุกอีใสมาก่อน ควรแนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส 2 ครั้ง
วันนี้ - 31 ธันวาคม 2567

โปรแกรมและแพ็คเกจ

โรคอารมณ์สองขั้ว (Bipolar Disorder)

โรคอารมณ์สองขั้ว

Bipolar Disorder

 

30 มีนาคม “วันไบโพลาร์โลก” (World bipolar day) ก่อตั้งขึ้นเพื่อให้ตระหนักถึงปัญหาที่ผู้ป่วยโรคไบโพลาร์ต้องพบเจอ สร้างความรู้ความเข้าใจแก่คนทั่วไปว่าอาการของโรคนี้เป็นอย่างไร และช่วยกันลดความเข้าใจหรือความเชื่อผิดๆ ที่สร้างแผลทางใจต่อผู้ป่วย โรคไบโพลาร์จัดเป็นโรคในกลุ่มจิตเวช ที่เกี่ยวข้องกับด้านอารมณ์ สามารถพบได้สูงถึง 1.5-5% ของจำนวนประชากร มักพบได้บ่อยในช่วงอายุ 15-19 ปี และรองลงมาคืออายุ 20-24 ปี โดยกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยจะมีอาการครั้งแรกก่อนอายุ 20 ปี และยังมีโอกาสที่จะกลับมาเป็นซ้ำได้สูงถึง 70-90%  กรมสุขชภาพจิต
โรคอารมณ์สองขั้ว (Bipolar Disorder)
หรือที่รู้จักกันดีว่า “โรคไบโพลาร์” โดยจะมีการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์สองขั้วสลับไปมาอย่างรุนแรง คือช่วงที่อารมณ์ดีหรือก้าวร้าวผิดปกติ (Mania) กับ ช่วงอารมณ์ซึมเศร้าผิดปกติ (Depression) โดยในแต่ละช่วงอารมณ์อาจอยู่นานเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน โดยมีช่วงอารมณ์ปกติคั่นกลางได้ สาเหตุสำคัญเกิดจากสารเคมีในสมองทำงานผิดปกติ หรืออาจถูกกระตุ้นในผู้ที่มีความเครียดสะสม หรืออดนอนบ่อยๆ ร่วมด้วย การแสดงออกทางอาการแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม
1. ภาวะตกต่ำในอารมณ์ (Depressive Episode)
อารมณ์ที่โดดเดี่ยว และเศร้าเสมอไปกับ อารมณ์ซึมเศร้า (Depression) ช่วงที่ผู้ป่วยมีภาวะอารมณ์ซึมเศร้าผิดปกติ มักมีอาการ
  1. มีอาการซึมเศร้า เก็บตัว เสียใจง่าย ร้องไห้ง่าย
  2. มีปัญหาด้านการนอน นอนไม่หลับ หรือนอนหลับมากเกินไป
  3. มีปัญหาด้านการกิน กินมากเกินไป หรือกินน้อยเกินไป
  4. สมาธิลดลง ไม่สามารถจดจำสิ่งต่างๆ ได้
  5. วิตกกังวลต่อสิ่งรอบตัว มองโลกในแง่ร้าย หรือมีความสุขทางกายลดลง
  6. ขาดความสนใจในกิจวัตรประจำวัน
  7. รู้สึกเบื่อ ท้อแท้ สิ้นหวัง ไม่สนใจกิจกรรมต่างๆ หรือขาดความสุขในกิจกรรมที่เคยชอบ
  8. รู้สึกผิดหวัง ไม่มีความสุข มีความคิดเรื่องการตายอยู่เรื่อยๆ
2. ภาวะขึ้นสูงในอารมณ์ (Manic Episode)
อารมณ์ที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นและมีพลังงานมาก อารมณ์ดีหรือหงุดหงิดมากกว่าปกติ (Mania) ช่วงที่ผู้ป่วยมีภาวะอารมณ์ดีหรือก้าวร้าวผิดปกติ มักมีอาการ
  1. มักคิดว่าตนเองสำคัญ มั่นใจในตัวเองมากขึ้น หรือความรู้สึกมีพลังงานเป็นพิเศษ
  2. นอนน้อยกว่าปกติมาก โดยไม่มีอาการเพลีย หรือไม่นอนเลย
  3. คิดเร็ว พูดเร็ว พูดมากกว่าปกติ
  4. ทำกิจกรรมหลายๆ อย่างในช่วงเวลานั้น
  5. ภาวะในการตัดสินใจไม่ดี หรือการประสบความสำเร็จที่เกินไป
  6. โต้ตอบต่อสิ่งเร้าอย่างรวดเร็วและรุนแรง หงุดหงิดง่าย โกรธง่าย ไม่มีเหตุผล
  7. ความเสี่ยงทางพฤติกรรมหรือการพึ่งพาตัวเองที่มีความเสี่ยงสูง
สาเหตุของการเกิดโรค
โรคไบโพลาร์เป็นผลมาจากปัจจัยหลายอย่างที่มีผลต่อสมดุลของสารเคมีในสมองและพฤติกรรมของร่างกาย ได้แก่
  1. พันธุกรรมความเสี่ยงในการเป็นโรคไบโพลาร์สามารถถ่ายทอดผ่านพันธุกรรมได้ หากคุณมีคนในครอบครัวที่มีประวัติเป็นโรคนี้ คุณมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคไบโพลาร์สูงกว่าคนทั่วไป
  2. สภาพแวดล้อมสภาพแวดล้อมรอบตัวเช่น ความเครียดในชีวิตประจำวัน การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ หรือการใช้สารเสพติดอื่น ๆ ก็อาจมีผลในการเสริมสร้างความเสี่ยงต่อโรคไบโพลาร์
  3. ภาวะทางจิตใจการเลี้ยงดูในวัยเด็กหรือวิกฤตในชีวิตที่ประสบกับเหตุการณ์ทางจิตใจที่รุนแรง เช่น การสูญเสียคนในครอบครัว การเหยียดหยาม หรือการเจ็บป่วยร้ายแรง อาจมีผลต่อการพัฒนาของโรคไบโพลาร์
  4. ความไม่สมดุลของสารเคมีในสมองสารเคมีในสมอง เช่น เซโรโทนิน ดอปามีน และนอร์อะดรีนาลีน มีบทบาทในการควบคุมอารมณ์และความผิดปกติในระดับของสารเคมีเหล่านี้อาจเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุของโรคไบโพลาร์
  5. โรคร่วมอื่นบางครั้งโรคไบโพลาร์อาจเกิดขึ้นพร้อมกับโรคร่วมอื่น ได้แก่ โรคทางระบบประสาท เช่น โรคลมชัก โรคหลอดเลือดสมอง โรคไมเกรน เนื้องอกสมอง อาการบาดเจ็บที่ศีรษะ โรคต่อมไร้ท่อ เช่น ความผิดปกติของไทรอยด์ฮอร์โมน โรคติดเชื้อ เช่น โรคเอดส์ การติดเชื้อของระบบประสาทส่วนกลาง โรคเกี่ยวกับระบบผู้คุ้มกัน เช่น SLE
วิธีรักษา
โรคไบโพลาร์ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถรักษาได้ตามอาการ เน้นการควบคุมอารมณ์และลดความรุนแรงของโรค เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว
  1. การรักษาด้วยยาใช้ยาเพื่อปรับสารสื่อประสาทในสมองให้กลับสู่สภาวะปกติ ทำให้อารมณ์มั่นคง สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ดีขึ้น หากผู้ป่วยกังวลกับผลข้างเคียงของยา แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ และแม้ว่าอาการจะดีขึ้นแต่ห้ามหยุดยาเอง เพื่อป้องกันไม่ให้กลับมามีอาการของโรคซ้ำ หรือมีอาการของโรครุนแรงกว่าเดิม ให้ปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด และมาพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามผลการรักษาอย่างสม่ำเสมอ
  2. การรักษาด้วยจิตบำบัด(Psychotherapy)เป็นการทำจิตบำบัดด้วยการพูดคุยกับผู้ที่มีอาการของโรคไบโพลาร์โดยตรงกับจิตแพทย์ และ/หรือนักจิตวิทยาเพื่อวิเคราะห์สภาพจิตใจ สาเหตุของปัญหา และหาทางออกให้กับปัญหาอันเป็นที่มาของความทุกข์ในใจ พร้อมทั้งพัฒนาทักษะในการเผชิญกับปัญหา เพื่อให้สามารถเอาชนะปัญหา และอุปสรรคในชีวิตได้
โรคนี้ส่วนใหญ่จะหายจากอาการผิดปกติและกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ หากได้รับการรักษา การลดความขัดแย้งกับคนรอบข้างที่เป็นสาเหตุของความเครียด ไม่ควรอดนอน และไม่ควรใช้สารเสพติดหรือดื่มแอลกอฮอล์ และรับประทานยาตามแพทย์สั่ง
หากคุณหรือคนรู้จักมีความเสี่ยงต่อโรคไบโพลาร์ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตเพื่อการประเมินอาการและแนวทางการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม

โปรแกรมและแพ็คเกจ

วัณโรคระยะแฝง

วัณโรคระยะแฝง

Latent TB
วัณโรคคืออะไร
วัณโรค คือ การติดเชื้อแบคทีเรีย Mycobacterium tuberculosis ซึ่งก่อให้เกิดอาการผิดปกติได้หลายระบบของร่างกายขึ้นกับอวัยวะที่ติดเชื้อ แต่พบบ่อยที่สุดคือ การติดเชื้อในปอด
ผู้ติดเชื้อวัณโรคระยะแฝง คืออะไร
ผู้ที่ได้รับเชื้อและติดเชื้อวัณโรคแฝงอยู่ในร่างกาย แต่ร่างกายมีภูมิคุ้มกันสามารถยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อวัณโรคได้ ไม่มีอาการผิดปกติ และไม่สามารถแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้
ทำไมเราถึงต้องให้ความสนใจผู้ป่วยติดเชื้อวัณโรคระยะแฝง
ผู้ป่วยติดเชื้อวัณโรคระยะแฝงประมาณร้อยละ 10-20 จะเกิดการดำเนินโรคต่อจนเข้าสู่ระยะเป็นวัณโรค นั่นคือ มีเอกซเรย์ปอดผิดปกติ และอาจมีอาการ รวมทั้งสามารถแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้ ยิ่งในกลุ่มผู้ป่วยเด็กอายุไม่เกิน 5 ปี ยิ่งมีโอกาสเป็นวัณโรคมากขึ้น และเป็นรุนแรง
ผู้ที่ควรได้รับการตรวจวินิจฉัยวัณโรคระยะแฝง คือใคร
1. ผู้สัมผัสผู้ป่วยวัณโรค แบ่งเป็น
  1. ผู้สัมผัสร่วมบ้าน คือ บุคคลที่อาศัยอยู่ร่วมบ้านกับผู้ป่วยวัณโรค
  2. ผู้สัมผัสใกล้ชิด คือ บุคคลที่ไม่ใช่ผู้อาศัยร่วมบ้าน แต่อยู่ร่วมกันในพื้นที่เฉพาะ โดยนับเวลาเฉลี่ย 8 ชั่วโมง/วัน หรือ 120 ชั่วโมง/เดือน ในช่วง 3 เดือนก่อนผู้ป่วยมีอาการหรือก่อนการวินิจฉัย
2 ผู้ติดเชื้อ HIV รวมถึงโรคเรื้อรังกลุ่มเสี่ยงอื่นๆ เช่น ได้รับยากดภูมิ
การวินิจฉัยวัณโรคระยะแฝง ทำได้อย่างไร
  1. การทดสอบทางผิวหนังด้วยทูเบอร์คูลิน โดยการฉีดโปรตีนสกัดจากเชื้อวัณโรค เรียกว่า PPD (purified protein derivative) เข้าในชั้นใต้ผิวหนังบริเวณท้องแขน หลังจากนั้น 48-72 ชั่วโมงจะทำการวัดรอยนูนบริเวณที่ฉีดยา
  2. การทดสอบ Interferon-gamma release assays (IGRA) เป็นวิธีการทดสอบที่ใช้วิธีการวัดปริมาณ interferon-gamma เมื่อมีการติดเชื้อวัณโรคขึ้นในร่างกาย
โดยที่ความไวและความจำเพาะของ IGRA จะเท่ากับหรือดีกว่าการทดสอบทูเบอร์คูลิน รวมถึงลดการเกิดผลบวกลวงได้
ถ้าตรวจพบว่ามีการติดเชื้อวัณโรคระยะแฝง จะต้องดำเนินการอย่างไรต่อ
  1. แพทย์อาจพิจารณาให้การรักษาด้วยการกินยาต้านวัณโรคตามสูตรการรักษาวัณโรคระยะแฝง ประกอบด้วยยา 1-2 ชนิด ระยะเวลา 3-9 เดือน ขึ้นกับสูตรยาที่แพทย์เลือก พบว่าการกินยาต้านวัณโรคสามารถลดการดำเนินโรคจากระยะแฝงไปสู่ระยะเป็นวัณโรคได้ประมาณร้อยละ 70
  2. แพทย์อาจพิจารณาไม่ให้ยาต้านวัณโรค แต่ใช้การติดตามอาการ และเอกซเรย์ปอดทุก 6 เดือน จนครบ 2 ปี เนื่องจากพบว่า ผู้สัมผัสโรคส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดการดำเนินโรคจนเป็นวัณโรค
การจะพิจารณาให้การรักษาต่อด้วยวิธีใด ขึ้นอยู่กับการประเมินประโยชน์ในการลดโอกาสป่วยเป็นวัณโรค ควบคู่ไปกับความเสี่ยงของการเกิดผลข้างเคียงจากยา อธิบายข้อดีข้อเสีย และให้ผู้ป่วยตัดสินใจร่วมกับแพทย์
อ้างอิง : แนวทางเวชปฏิบัติวัณโรคระยะแฝง พ.ศ.2566

โปรแกรมและแพ็คเกจ

ทพ.ภูริณัฐ จตุรภัทรไพบูลย์

ทพ.ภูริณัฐ จตุรภัทรไพบูลย์
ทันตกรรมทั่วไป

ทพ.ภูริณัฐ จตุรภัทรไพบูลย์

PHURINAT CHATURAPATPAIBOON, DDS.
Specialty
  • ทันตกรรม

Language Spoken
  • อังกฤษ, ไทย

ปริญญาบัตรและสถาบันการศึกษา
  • ทันตแพทยศาสตรบัณฑิต คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

ตารางออกตรวจ
วัน เวลา
SAT 09:00 - 18:00 สัปดาห์ที่ 2,4,5

นพ.ลภน หิรัญเพ็ชรกุล

นพ.ลภน หิรัญเพ็ชรกุล
จักษุแพทย์ โรคต้อหิน

นพ.ลภน หิรัญเพ็ชรกุล

LAPHON HIRANPETCHAKUL, M.D.
Specialty
  • จักษุวิทยา
  • ต้อหิน

Language Spoken
  • อังกฤษ, ไทย

ปริญญาบัตรและสถาบันการศึกษา
  • แพทยศาสตรบัณฑิต (พ.บ.)  คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
  • จักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
  • วุฒิบุตร โรคต้อหิน คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล

ตารางออกตรวจ
วัน เวลา หมายเหตุ
SAT 16:00 - 18:00 สัปดาห์ที่ 1,3,5

นพ.อธิเชฐ แสวงเจริญ

นพ.อธิเชฐ แสวงเจริญ
ศัลยแพทย์ ทางเดินปัสสาวะ
ศัลยศาสตร์ยูโรวิทยาขั้นสูง และปลูกถ่ายไต

นพ.อธิเชฐ แสวงเจริญ

ATICHET SAWAENGCHAROEN, M.D.
Specialty
  • ศัลยกรรมทางเดินปัสสาวะ
  • ศัลยศาสตร์ยูโรวิทยาขั้นสูง และปลูกถ่ายไต

Language Spoken
  • อังกฤษ, ไทย

ปริญญาบัตรและสถาบันการศึกษา
  • แพทยศาสตรบัณฑิต (พบ.) ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
  • แพทย์เฉพาะทาง สาขาศัลยศาสตร์ยูโรวิทยา จากคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
  • แพทย์เฉพาะทาง อนุสาขาศัลยศาสตร์ยูโรวิทยาขั้นสูง และปลูกถ่ายไต จากคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล

ตารางออกตรวจ
วัน เวลา
SAT 13:00 - 17:00

พญ.วีรยา กิ่งประทุม

พญ.วีรยา กิ่งประทุม
เวชศาสตร์ฟื้นฟู

พญ.วีรยา กิ่งประทุม

WEERAYA GINGPRATUM, M.D.
Specialty
  • เวชศาสตร์ฟื้นฟู
    Physical Medicine and Rehabilitation 

Language Spoken
  • อังกฤษ, ไทย

ปริญญาบัตรและสถาบันการศึกษา
  • แพทยศาสตรบัณฑิต (พ.บ.) คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • วุฒิบัตรแพทยเวชศาสตร์ฟื้นฟู คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ตารางออกตรวจ
วัน เวลา
WED 17:00-20:00
SAT 13:00-17:00

พญ.สุพัฒนา ฉัตรร่มเย็น

พญ.สุพัฒนา ฉัตรร่มเย็น
เวชศาสตร์ฟื้นฟู

พญ.สุพัฒนา ฉัตรร่มเย็น

SUPATTANA-CHATROMYEN, M.D.
Specialty
  • เวชศาสตร์ฟื้นฟู

Language Spoken
  • อังกฤษ, ไทย

ปริญญาบัตรและสถาบันการศึกษา
  • แพทยศาสตรบัณฑิต (พ.บ.) คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • วุฒิบัตรแพทยเวชศาสตร์ฟื้นฟู คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช

ตารางออกตรวจ
วัน เวลา
FRI 16:00-19:00