10 สิ่ง ที่คนตั้งครรภ์ ต้องห้ามทำ

10 สิ่ง ที่คนตั้งครรภ์ ต้องห้ามทำ

1. งด เพศสัมพันธ์
ช่วง ท้องอ่อนๆ หรือ 3เดือน แรกและช่วงใกล้คลอดหรือ 3 เดือน ท้ายของการตั้งครรภ์ เพื่อไม่ให้เกิดภาวะแท้งในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ และเพื่อไม่ให้เกิดการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดช่วงท้ายของการตั้งครรภ์
2. งดกินยา ที่มีส่วนผสมของ Vitamin A
Formของวิตามิน เอ ที่เราต้องระวังคือ Isotretinoin และ Etretinate เพราะเป็นสารที่จัดอยู่ในหมวดหมู่ X นั่นคือ ยาทำให้เกิดความผิดปกติของตัวอ่อนในครรภ์ได้ ได้แก่ หูหนวก ตาบอด ไม่มีรูเปิดทวาร น้ำคั่งในโพรงสมอง โดยisotretinoin มักอยู่ในสูตรยา ของการรักษาสิว เพราะฉะนั้นหากตั้งครรภ์ควรแจ้งแพทย์เมื่อไปรับการรักษาสิว และควรหยุดยาหากวางแผนจะตั้งครรภ์ส่วน Etretinate จะเป็นส่วนผสมของยาที่ใช้รักษาโรค Psoriasis หรือสะเก็ดเงิน หากใช้ยาตัวนี้อยู่ควรหยุดยาอย่างน้อย 2 ปีก่อนตั้งครรภ์
3. งดการสัมผัสกับ คนที่มีโรคเช่น อีสุกอีใส หัดเยอรมัน
โดยเฉพาะ หญิงตั้งครรภ์ที่ไม่เคยมีภูมิมาก่อน เพราะหากติดเชื้อเหล่านี้จะทำให้เด็กพิการได้ เพราะฉะนั้นหากจะไปไหนในที่ชุมชนควรใส่หน้ากาก และหลีกเลี่ยงการใกล้ชิดคนที่เป็นโรคดังกล่าว
4. ห้าม x-ray
หากตั้งครรภ์พบว่า อายุครรภ์ช่วง 10-17 สัปดาห์ เป็นช่วงที่ระบบประสาทและสมองของทารกในครรภ์ไวต่อรังสี x-ray โดยปริมาณที่ได้รับรังสีเมื่อถ่ายภาพ x-ray ไม่ควรเกิด 5 rad ดังนั้นกรณีจำเป็นต้อง x-ray ควรแจ้งแพทย์และเจ้าหน้าที่เพราะ จะมีเครื่องมือที่ใช้ บังท้อง เพื่อลดการได้รับรังสี อย่างไรก็ตาม ปริมาณรังสีที่ได้รับ เมื่อถ่ายภาพ x-ray ตามอวัยวะต่างๆของร่างกายแตกต่างกัน และส่วนใหญ่ ปริมาณรังสีที่ได้รับต่อครั้ง น้อยกว่า 5 rad
5. ห้ามดื่มกาแฟ เกินขนาด
กาแฟ หรือ caffeine มีฤทธิ์กระตุ้นความดัน และ การเต้นของหัวใจ นอกจากนี้ ยังสามารถผ่านรก เข้าสูทารกในครรภ์ได้ การดื่มกาแฟหรือสารที่มีกาแฟเป็นองค์ประกอบเช่น ชา โคล่า จึงมีข้อจำกัด คือไม่ควรดื่มกาแฟในขนาดที่เกิน 200 มิลลิกรัม ต่อวัน หรือ 1 แก้วขนาด 12 ออนซ์
6. ห้ามโดยสารเครื่องบินในช่วงอายุครรภ์ใกล้คลอด
โดยแต่ละสายการบินจะมีข้อกำหนดต่างกัน ขึ้นกับ ระยะเวลาที่ใช้ในการเดินทาง อายุครรภ์ และโรคประจำตัวของหญิงตั้งครรภ์ยกตัวอย่างเช่น สายการบิน นกแอร์
  • อายุครรภ์ต่ำกว่า 28 สัปดาห์ : สายการบินอนุญาตให้เดินทางได้โดยไม่จำเป็นต้องมีใบรับรองแพทย์
  • อายุครรภ์ตั้งแต่ 28 สัปดาห์ ถึง 36 สัปดาห์ : ผู้โดยสารต้องแสดงใบรับรองแพทย์ที่รับรองว่าสามารถเดินทางโดยเครื่องบินได้
  • อายุครรภ์มากกว่า 36 สัปดาห์ : สายการบินปฏิเสธการให้บริการ
ทั้งนี้ เพราะการเดินทางด้วยเครื่องบินช่วงใกล้คลอด หากเกิดการเจ็บครรภ์คลอด จะมีข้อจำกัดในการดูแลรักษา บนเครื่อง และส่งผลอันตรายต่อคุณแม่และทารกในครรภ์
7. การสัมผัสแมว ต้องระวัง
โดยเฉพาะการทำความสะอาดมูลแมว มูลแมวมีส่วนประกอบของ Toxoplasmosis ซึ่ง เป็นเชื้อปรสิตชนิดหนึ่งที่มีแมวเป็นพาหะนำโรค เชื่อชนิดนี้สามารถผ่านรก และทำให้ทารกในครรภ์ติดเชื้อเกิดโรค Congenital Toxoplasmosis โดยจะมีผลต่อระบบ ประสาท การมอง การได้ยิน ตับม้ามโต ตัวเหลือง หัวโต รกใหญ่
8. ห้ามอบซาวนา แช่ออนเซ็น
หนึ่งในปัจจัยเสี่ยง ของการเกิด neural- tube defect หรือภาวะ หลอดประสาทไม่ปิดของทารกในครรภ์ คือการที่หญิงตั้งครรภ์อยู่ในภาวะ hyperthermia คือภาวะที่มีความร้อนสูง เช่นการแช่น้ำร้อน อบซาวน่า ดังนั้นช่วง3 เดือนแรก ซึ่งเป็นช่วงที่ร่างกายทารกกำลังสร้างหลอดประสาทนี้ หญิงตั้งครรภ์ควรงดการแช่น้ำร้อน อบซาวน่า
9. ห้าม ดื่มนมวัวทุกวัน
นมวัวมีโปรตีน เช่น อัลฟา เบต้า เคซีน เป็นจำนวนมาก ซึ่งสารเหล่านี้จัดเป็นสารแปลกปลอม (antigen) การที่หญิงตั้งครรภ์ ดื่มนมวัวปริมาณมาก จะทำให้ร่างกายเด็กได้รับ antigen เหล่านี้เยอะ จนร่างกายสร้าง antibody มาต่อต้าน โปรตีนจากนมวัว เมื่อเด็กคลอดมา จะมีความเสี่ยงในการเกิดภาวะแพ้นมวัว และผลิตภัณฑ์จากนมวัวดังนั้น ปัจจุบันจึงแนะนำให้หญิงตั้งครรภ์ดื่มนมวัวสลับกันนมถั่วเหลือง เพื่อลดการเกิดปัญหาดังกล่าว
10. ห้ามฉีดวัคซีน ตัวเป็น
วัคซีนตัวเป็น หรือ live vaccine คือ วัคซีนที่ผลิตจากจุลินทรีย์ที่มีชีวิตแต่ทำให้ฤทธิ์อ่อนลงจนไม่ก่อโรคในร่างกายของเรา แต่สามารถกระตุ้นให้สร้างภูมิต้านทานได้ เช่น วัคซีนหัด หัดเยอรมัน คางทูม อีสุกอีใส ไข้เหลือง (Yellow Fever) บีซีจี (ป้องกันวัณโรค) โปลิโอชนิดกิน ดังนั้น หากมีแผนการ จะตั้งครรภ์ ควรวางแผนฉีดวัคซีนเหล่านี้ คือ MMR ( หัด หัดเยอรมัน คางทุม) และวัคซีนอีสุกอีใสก่อน เพราะหากเป็นโรคเหล่านี้ จะส่งผลต่อเด็กในครรภ์พิการได้
ส่วนวัคซีนชนิดตัวตาย ( Inactivated Vaccines) สามารถฉีดได้ตามปกติ เช่น วัคซีนพิษสุนัขบ้า บาดทะยัก ไอกรน ไข้หวัดใหญ่
อ้างอิง
www.aafp.org
(http://americanpregnancy.org/pregnancy-health/caffeine-during-pregnancy/)

โปรแกรมและแพ็คเกจ

Baby Delivery Package

Normal Delivery Pack […]

PACKAGE ฝังยาคุมกำเนิด

แพ็กเกจฝังยาคุมกำเนิ […]

ภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมนแต่กำเนิด (Congenital Hypothyroidism :CHT)

ภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมนแต่กำเนิด

(Congenital Hypothyroidism :CHT)

 

 เกิดจากภาวะบกพร่องไทรอยด์ฮอร์โมน และไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ซึ่งมักเรียกว่า “โรคเอ๋อ”  

ความสำคัญ

             การขาดไทรอยด์ฮอร์โมนซึ่งเป็นฮอร์โมนสำคัญ  ซึ่งหลั่งจากต่อมไทรอยด์ โดยเฉพาะเด็กแรกเกิด จะมีผลต่อการเจริญเติบโตทั้งทางร่างกายและเซลล์ของระบบประสาท ดังนั้นภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมน ยังมาส่งผลกระทบต่อการพัฒนาของระบบประสาท การทำงานของระบบต่างๆของร่างกายและการพัฒนาทางร่างกาย อาการแสดงของโรคจะไม่เห็นเมื่อแรกคลอดแต่มักแสดงอาการเด่นชัดขึ้น เมื่ออายุมากกว่า 3 เดือนอาการของโรคเบื้องต้นคือ ทารกจะท้องผูกบ่อย, ตัวเหลืองนาน,สะดือจุ่น,ผิวแห้ง,ร้องไห้
งอแงและหลับบ่อยไม่สดใสร่าเริง ฯลฯ

 สาเหตุ

การเป็นโรคนี้ในเด็กทารกแรกเกิด เป็นเพราะมีความผิดปกติของต่อมฮอร์โมนและการขาดสารไอโอดีนของมารดา ในระยะตั้งครรภ์ ซึ่งภาวะผิดปกตินี้หากเด็กทารกได้รับการรักษา

[ก่อนอายุ 3เดือนเด็กจะมีสติปัญญาปกติ หากได้รับการรักษาช้ากว่านั้น ร้อยละ 80 ของเด็กจะปัญญาอ่อน มีความพิการทางระบบประสาท]

 

อาการแสดง

 

จะสังเกตเห็นทารกได้ในเดือนที่ 3 หลังคลอด โดยในช่วง 3 ขวบแรก จะเป็นช่วงที่สำคัญ

ทางด้านการเจริญเติบโต – เด็กจะเติบโตช้า ดั้งจมูกแบน ขาสั้นมากกว่าอายุจริง
ทางด้านระบบประสาท – เด็กจะมีอาการซึม เชื่องช้า
กล้ามเนื้อ –ด็กจะมีกล้ามเนื้ออ่อนแรง ลิ้นโต ท้องผูก สะดือจุ่น
ระบบหายใจ – เด็กจะเสียงแหบเป็นหวัดบ่อยๆ
หัวใจและหลอดเลือด – เด็กจะตัวเย็นผิวเป็นวงลาย ตัวเขียว หัวใจอาจจะโต
ผิวหนัง – ผิวแห้ง ผมแห้งเปราะ ขนคิ้วบาง ฟันขึ้นช้า
ระบบเลือด – ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็ก, วิตามิน B12 ลดลง
ระบบต่อมไร้ท่อ – ในอนาคตส่งผลต่อความผิดปกติของประจำเดือน เช่น มีระดูมากกว่าปกติ

[ แนวทางในการวินิจฉัยและรักษาอย่าช้าไม่ควรเกินอายุ 2 สัปดาห์ เนื่องจากพัฒนาการของร่างกายและสมองอาจล่าช้ากว่าเด็กทั่วไปและก่อให้เกิดภาวะปัญญาอ่อนได้]

 การวินิจฉัยภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมนแต่กำเนิด

เมื่อเด็กแรกเกิด ทางโรงพยาบาลจะตรวจคัดกรองหาระดับฮอร์โมนไทรอยด์ คือระดับของ TSH ในเบื้องต้น เมื่อพบค่าผิดปกติของระดับ TSH มากกว่าหรือเท่ากับ 25 มิลลิยูนิตต่อลิตร ต้องติดตามเด็กมาเจาะซีรั่มเพื่อตรวจยืนยันระดับ TSH ระดับ T4 หรือ Free T4 ซึ่งเป็นฮอร์โมนไทรอยด์ทั้งหมด ร่วมด้วย หากพบว่ามีความผิดปกติจริง ต้องได้รับการรักษาทันทีปัญหาที่สำคัญคือความผิดปกติเหล่านี้ไม่มี  อาการแสดงให้เห็น จนกว่าเด็กทารกจะมีอายุ 1 เดือนขึ้นไป การป้อง กันที่ดีที่สุดคือ “การเจาะเลือด” หรือ
“คัดกรองสุขภาพทารกแรกเกิด (Neonatal Screening)”โดยทันที

 

การรักษาภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมนแต่กำเนิด

ใช้ฮอร์โมนไทรอยด์ทดแทน (L-thyroxin) ซึ่ง ประหยัด ปลอดภัย และระยะเวลาในการรักษา จะขึ้นอยู่กับความรุนแรงสาเหตุของโรคภายใต้การดูแลของแพทย์

 

[เป็นโรคที่ป้องกันได้ตั้งแต่แรกเกิด รีบพาเด็กมาตรวจเลือดซ้ำที่โรงพยาบาลโทรตาม]

ถ้ารักษาทันเด็กจะไม่มีอาการปัญญาอ่อนหรือประสาทสมองพิการ แต่ถ้า 3 เดือนผ่านไป เด็กยังไม่ได้รับการรักษาอาการของโรคเอ๋อ จะชัดเจนขึ้น คือ เด็กจะมีเสียงแหบ, ลิ้นโต,หน้าบวม, ผมและขนคิ้วบาง, สะดือจุ่น, ผิวเย็นแห้ง, ตัวสั้น มีพัฒนาการช้า

 

ประโยชน์ของ Filler

 

 

 

ฟิลเลอร์ คืออะไร ?
ฟิลเลอร์ (Filler) หรือสารเติมเต็มที่ได้ อย. หรือ FDA ประเทศไทย คือสาร Hyaluronic Acidหรือ HA เป็นโพลีแซคคาไรด์ (Polysaccharide) ที่มีอยู่ในร่างกายอย่างผิวหนังและกระดูกอ่อน เมื่อผสมรวมกับน้ำจะขยายตัวอยู่ในรูปของเนื้อเจลซึ่งเป็นสารประกอบของคอลลาเจนที่มีอยู่แล้วในผิวหนัง คอลลาเจนนั้นเป็นโปรตีนสำคัญและเป็นส่วนประกอบหลักของผิวหนัง

ทำไมต้องเติมฟิลเลอร์ ?
คอลลาเจนเป็นส่วนที่เปรียบได้กับสปริงของผิวหนัง ช่วยสร้างความตึงให้กับผิวหนังชั้นหนังแท้ คอลลาเจนโปรตีนจะเสื่อมสภาพลงเมื่ออายุมากขึ้น พอสปริงไม่เด้งเหมือนเก่า ผิวหนังจึงยุบตัวลง เกิดเป็นริ้วรอย ร่องลึก ผิวหย่อนคล้อย และความชุ่มชื่นของผิวลดลง

เติมฟิลเลอร์แล้วมีผลอย่างไรบ้าง ?
การเติมฟิลเลอร์นั้นมีจุดประสงค์ในการเติมเต็มและปรับรูปหน้าได้หลายตำแหน่ง เช่น ปรับขนาดโหนกแก้มให้ใบหน้ามีมิติ ลดร่องแก้ม (Nasolabial Fold)ลดร่องใต้ตา(Tear trough)ลดริ้วรอยบริเวณแก้ม-ริมฝีปาก รอยเหี่ยวย่นหลังมือ ขมับบุ๋ม เติมคางให้ยาวขึ้น ดู V-shape ฉีดปรับรูปหน้าให้ดูเล็กลง ได้สัดส่วนที่ดีขึ้น ทำกรอบหน้าให้ชัดขึ้น ปรับหน้าที่แบนให้ดูมีมิติแสงเงา ง่ายต่อการแต่งหน้า และโหงวเห้งดีขึ้น

 

การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์

  1. ควรดื่มน้ำให้มากๆ เพราะจะช่วยให้ฟิลเลอร์คงสภาพได้นานขึ้น
  2. ไม่ควรใช้เครื่องสำอางเป็นเวลา 4 ชั่วโมงหลังการฉีด
  3. ไม่ควรออกกำลังกายใบหน้าในช่วง 48 ชั่วโมงแรกหลังการฉีด
  4. ไม่ควรถูหรือขัดหน้าแรงๆ บริเวณที่ฉีด
  5. ไม่ควรให้ใบหน้าสัมผัสกับความร้อนจัด เช่น การซาวน่า นวดหน้า ทำเลเซอร์ อย่างน้อย 2 สัปดาห์

 

สอบถามเพิ่มเติม : แผนกผิวหนังและเลเซอร์ 02-587-0144 ต่อ 2302

ประโยชน์ของ Botox

 

 

โบท็อกซ์ คืออะไร ?
โบท็อกซ์ (Botox) เป็นชื่อทางการค้าเนื่องจากเจ้าแรกที่ผลิตใช้ชื่อสินค้าว่า Botox แต่จริงๆแล้วคือตัวยาที่ชื่อว่า Botulinum Toxin type A ซึ่งเป็นโปรตีน ชนิดหนึ่ง ที่สร้างจาก แบคทีเรีย ชื่อ คลอสตริเดียม โบทูลินั่ม (Clostridium botulinum) ออกฤทธิ์โดยการไปจับกับส่วนปลายของเซลล์ประสาท ทำให้เซลล์ประสาท ไม่สามารถหลั่งสารสื่อประสาทได้ กล้ามเนื้อจึงคลายตัว โดยจะเริ่มออกฤทธิ์ภายใน 2-3 วัน และเห็นผลสูงสุดในเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ ยกเว้นกรามจะเห็นผลได้ชัดสุดในเวลา 1-2 เดือน

 

  • ประโยชน์และการนำมาใช้ ในทางการแพทย์แล้วสาร Botulinum Toxin มีคุณสมบัติในการคลายกล้ามเนื้อ จึงถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคหรือผู้ที่มีความผิดปกติของร่างกายได้หลายอย่าง เช่น ใช้ฉีดเพื่อรักษาผู้ที่มีอาการตาเหล่  ตาเข หรือตากระตุก  อาการโรคกล้ามเนื้อบิดเกร็ง  อาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่  รวมถึงอาการปวดศีรษะจากโรคไมเกรนเรื้อรังก็สามารถใช้โบท็อกซ์รักษาได้เช่นกัน   นอกจากนี้ยังมีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการนำสาร Botulinum Toxin มาใช้กับผู้ที่มีอาการของโรคลิ้นหัวใจพิการอีกด้วย

 

  • ลดเลือนริ้วรอยบนผิวหน้า อย่างที่กล่าวไปในข้างต้นแล้วว่าโบท็อกซ์นั้นนิยมนำมาใช้ฉีดเพื่อคลายกล้ามเนื้อที่หดเกร็งบนใบหน้า จากการแสดงสีหน้าอารมณ์ต่างๆที่ทำให้เกิดริ้วรอย ทำให้ริ้วรอยลดเลือนลง ผิวกลับมาเรียบตึงอีก  เช่น  ริ้วรอยบริเวณหน้าผาก  หางตา  หว่างคิ้ว รอยย่นจมูก คอ เป็นต้น  โดยแพทย์จะฉีดโบท็อกซ์ในปริมาณที่เหมาะสมในบริเวณที่ต้องการ  จากนั้นโบท็อกซ์จะทำปฏิกิริยากับกล้ามเนื้อและ จะเริ่มเห็นผลได้ภายใน 2-3 วัน และผลจะยิ่งเด่นชัดมากขึ้นเมื่อ 7-14 วันผ่านไป

 

  • แก้ไขรูปหน้าให้เรียว V-Shape ด้วยคุณสมบัติของโบท็อกซ์ จึงสามารถแก้ไขโครงสร้างใบหน้าที่แลดูเหลี่ยม อันเกิดจากกล้ามเนื้อที่อาจใหญ่อยู่เดิมหรือจากพฤติกรรมบางอย่างที่ไปกระตุ้นให้กล้ามเนื้อบริเวณนี้ใหญ่ขึ้น  เช่น  การนอนกัดฟัน  การเคี้ยวอาหารที่เหนียวบ่อยครั้งโบท๊อกซ์ที่ฉีดเข้าไปบริเวณดังกล่าวจะช่วยลดขนาดกล้ามเนื้อในบริเวณที่ฉีดให้เล็กลง  รูปหน้าที่ใหญ่และเป็นเหลี่ยมจะค่อยๆ เรียวเล็กลง  โครงหน้าได้รูป  V-shape

 

  • Lifting ช่วยยกกระชับ จัดรูปกรอบหน้า และลำตัวให้ชัดขึ้น

 

  • ปรับขนาดของน่องให้เรียวเล็ก สำหรับคุณผู้หญิงที่มีน่องใหญ่ สาเหตุเกิดจากกล้ามเนื้อ Medial Gastrocnemius  (กล้ามเนื้อบริเวณน่อง)  มีขนาดใหญ่อยู่เดิม เกิดจากการใช้งานกล้ามเนื้อบริเวณนั้นๆมาก Botox จะช่วยลดขนาดกล้ามเนื้อให้เล็กลง น่องดูเรียวขึ้น

 

  • แก้ปัญหากลิ่นรักแร้เหงื่อออกมาก กลิ่นเกิดจากเหงื่อที่รูขุมขนบริเวณรักแร้ขับออกมา เมื่อเกิดการหมักหมมและผสมรวมกับแบคทีเรียที่อยู่รอบตัวเรา  จึงทำให้เกิดกลิ่นฉุน  บั่นทอนบุคลิกภาพของเราให้ลดลงไปโบท็อกซ์ที่ฉีดเข้าไปที่รักแร้จะออกฤทธิ์ยับยั้งสารสื่อประสาท Acetylcholine ที่กระตุ้นการหลั่งของเหงื่อ  ช่วยลดการขับเหงื่อจากรักแร้ได้กว่า 80% เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้ฉีดโบท็อกซ์  ทั้งยังช่วยให้รูขุมขนบริเวณรักแร้เล็กลง  ผิวเรียบเนียนขึ้นได้

 

  •  รักษาอาการ Office Syndrome การนั่งทำงานการนั่งหน้าคอมพิวเตอร์หรือการแบกกระเป๋าหนักๆ ทำให้ปวดสะบัก การฉีด Botox จะช่วยให้หายปวด ไหล่และบ่าดูระหงษ์ขึ้น อยู่ได้นาน 6-8 เดือน ไม่ต้องทนอาการปวดอีกไม่ต้องเสียเวลาและเงินไปกับการนวดบ่อยๆ เป็นการแก้ไขจากที่ต้นเหตุ

 

การปฏิบัติตัวหลังการฉีด Botulinum Toxin Type A และ Type B

  • สามารถใช้น้ำแข็งประคบในกรณีที่มีอาการบวมแดงหรือช้ำได้
  • ผู้ป่วยจะเริ่มเห็นผลการรักษาใน 2-7 วัน และเห็นผลการรักษาสูงสุดในสองสัปดาห์
  • ห้ามนอนราบ 4 ชั่วโมงหลังการฉีด
  • งดทำหน้านวดหน้าเป็นเวลา 2 สัปดาห์
  • งดออกกำลังกายหนักๆ งดการโดนความร้อนจัด เช่น การแช่บ่อน้ำร้อน,โยคะร้อน สามารถอาบน้ำและล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นได้
  • งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอลฮอลล์ อย่างน้อย 24 ชั่วโมง
  • กลับมาพบแพทย์เมื่อมีข้อสงสัยหรือสิ่งผิดปกติใดๆ

 

สอบถามเพิ่มเติม :
คลินิกผิวหนังและคอสเมติก ชั้น 3 อาคาร 2 โรงพยาบาลบางโพ
02-587-0144 ต่อ 2302

 

 

 

 

 

ทำจมูกทั้งทีซิลิโคนประเทศไหนดี

 

ซิลิโคนที่ใช้ในการศัลยกรรมจมูก แบ่งออกได้ 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ

    1. ซิลิโคนสำเร็จรูป  เป็นซิลิโคนที่ขึ้นรูปร่างมาสำเร็จพร้อมที่จะใส่ให้กับผู้ใช้บริการ  ถูกกำหนดให้มีความกว้างและยาวที่แตกต่างกัน ก่อนทำการเสริมจมูกแพทย์จะปรับแต่งซิลิโคนเล็กน้อยเพื่อให้ได้รูปทรงที่เหมาะสมกับโครงจมูกแต่ละคน

ข้อดีของซิลิโคนสำเร็จรูป คือ ได้รูปทรงที่แน่นอน โอกาสเอียงมีน้อยมาก และมีให้เลือกหลายเกรด ความแข็ง-นิ่มมีหลายระดับ ช่วยประหยัดเวลาในการผ่าตัด

   2. ซิลิโคนแบบเหลาเอง ซิลิโคนมีลักษณะเป็นแผ่นใหญ่ แพทย์จะทำการเหลาซิลิโคนเองให้เหมาะกับทรงจมูกของแต่ละคน ข้อดีคือสามารถเหลาปรับรูปทรงให้เหมาะสมกับโครงจมูกของแต่ละคนได้ ออกแบบรูปทรงจมูกได้ดี

ตามความต้องการของแต่ละบุคคล แต่จะมีความยุ่งยากในการเหลาให้ได้รูปทรง ใช้ระยะเวลานาน ถ้าเหลาซิลิโคนไม่ดีก็จะทำให้มีโอกาสเอียงได้

 

 

 

ญี่ปุ่น เป็นซิลิโคนมาตรฐานธรรมดา โดยนำเข้าวัตถุดิบมาจากประเทศญี่ปุ่น

ดำเนินการผลิตในประเทศไทย เป็นซิลิโคนมีสีเหลืองอ่อน เนื้อซิลิโคนค่อนข้างแข็ง

อาจจะเสี่ยงทะลุได้ สำหรับผู้ที่มีเนื้อจมูกน้อยไม่ควรใช้ซิลิโคนชนิดนี้

 

 

 

 

 

 

 

 

เกาหลี เป็นซิลิโคนสำเร็จรูป มาตรฐานพิเศษคุณภาพดี มีจุดเด่นตรงที่ช่วงโคนจมูก

และปลายจมูกมีความนิ่มมาก มีความยืดหยุ่นตัวสูง ไม่มีโอกาสจะทะลุและเอียงได้เลย

เนื่องจากมีความนิ่มมากความคงรูปของทรงจมูกก็อาจทำได้ไม่ดีมากนักเมื่อเสริมไปในระยะเวลานานๆ

 

 

 

 

 

 

สหรัฐอเมริกา เป็นซิลิโคนมาตรฐานพิเศษ มีความบริสุทธิ์ มีความปลอดภัยและคุณภาพดี (Medical Grade Silicone)

ซิลิโคนมีสีขาว เนื้อนิ่ม เนียน ละเอียดมาก และมีความยืดหยุ่นได้ดี ดังนั้นจึงมีความนิยมเลือกใช้กันมากที่สุด

เนื่องจากเนื้อของซิลิโคนมีความนิ่มปานกลาง และไม่นิ่มจนเกินไป สามารถเหลาปรับแต่งรูปทรงได้ตามต้องการได้ดี

เหมาะสำหรับผู้ที่มีเนื้อบริเวณของสันจมูกค่อนข้างมาก หรือคนที่มีโครงจมูกที่ยาว หลังจากเสริมจมูกด้วยซิลิโคนของประเทศอเมริกาแล้ว

นอกจากจะทำให้ จมูกดูโด่งสวยเนียน และยังไม่มีโอกาสที่จะยุบตัวลง เมื่อเสริมไปนาน ๆ อีกด้วย

 

คลินิกพิเศษดูแลบาดแผลและหลอดเลือด

คลินิกพิเศษดูแลบาดแผลและหลอดเลือด

Wound Care & Vascular Clinic

ให้บริการดูแลบาดแผลเรื้อรังโดยศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในด้านการดูแลบาดแผลที่ซับซ้อน บาดแผลเรื้อรังต่างๆด้วยเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ทันสมัย  ทำให้ผู้ป่วยบาดแผลหายเร็ว เกิดภาวะแทรกซ้อนน้อยที่สุด รวมถึง การลดความเจ็บปวดจากการทำแผล ลดจำนวนครั้งของการเปลี่ยนแผลโดยไม่จำเป็น การเลือกใช้วัสดุปิดแผลและตัวยารักษาแผลที่มีความทันสมัย

ให้บริการดูแลรักษาบาดแผล

  • บาดแผลกดทับ   (Pressure sore) 

  • บาดแผลโรคหลอดเลือดเรื้อรังไม่ว่าจะเป็นบาดแผลจากโรคหลอดเลือดดำ (Venous Ulcer) หรือ บาดแผลขาดเลือด (Ischemic Ulcer) จากโรคหลอดเลือดแดงอุดตันเรื้อรัง

  • บาดแผลเรื้อรังจากแผลเบาหวาน (Diabetic Ulcer)

  • บาดแผลไหม้จากอุบัติเหตุทุกชนิด ได้แก่
    • บาดแผลไฟไหม้ (Flame Burn)
    • บาดแผลของเหลว ของร้อนลวก (Scald Burn)
    • บาดแผลไหม้จากสารเคมี (Chemical Injury)
    • บาดแผลไหม้จากการสัมผัส (Contact Burn) ไม่ว่าจะเป็นของร้อน เช่น โดนท่อไอเสีย ผิวหนังสัมผัสของร้อนเช่น เตารีด วัสดุร้อนๆ หรือ ของเย็นจัด เป็นต้น
    • บาดแผลไหม้จากไฟฟ้าดูด ไฟฟ้าช็อต (Electrical Injury)
    • บาดแผลไหม้จากสะเก็ดระเบิด (Blast Injury)
  • การจัดการกับแผลมี แนวทางจากลักษณะพยาธิสภาพของแผลที่ สำคัญ 4 อย่าง  TIME

 หมายถึง เนื้อเยื้อ (Tissue) ที่ใช้การไม่ได้หรือไม่เพียงพอตอการหายของแผล การจัดการกับเนื้อเยื่อที่เป็นเนื้อตายทำให้แผลหายช้า (Debridement technique)

I    หมายถึง การติดเชื้อและการอักเสบ การจัดการคือควบคุมและการอักเสบ (Bacterial Management)

M   หมายถึง ความชุมชื่นของแผลที่ไม่สมดุล การจัดการ คือ การสร้างความสมดุลความชุ่มชื่นของแผล (Exudate management)

E    หมายถึง ขอบแผลไม่เจริญ การจัดการกับขอบแผล คือการกระตุ้นให้ขอบแผลเจริญเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่ การใช้แรงดูดสุญญากาศ หรือการใช้ ผลิตภัณฑ์

 

 

ข้อมูลโดย

นพ. เกียรติศักดิ์  ทัศนวิภาส

ศัลยแพทย์ เชี่ยวชาญศัลยศาสตร์หลอดเลือด

สอบถามเพิ่มเติม คลินิกศัลยกรรม อาคาร  1  ชั้น   2