ประโยชน์ของ Filler

 

 

 

ฟิลเลอร์ คืออะไร ?
ฟิลเลอร์ (Filler) หรือสารเติมเต็มที่ได้ อย. หรือ FDA ประเทศไทย คือสาร Hyaluronic Acidหรือ HA เป็นโพลีแซคคาไรด์ (Polysaccharide) ที่มีอยู่ในร่างกายอย่างผิวหนังและกระดูกอ่อน เมื่อผสมรวมกับน้ำจะขยายตัวอยู่ในรูปของเนื้อเจลซึ่งเป็นสารประกอบของคอลลาเจนที่มีอยู่แล้วในผิวหนัง คอลลาเจนนั้นเป็นโปรตีนสำคัญและเป็นส่วนประกอบหลักของผิวหนัง

ทำไมต้องเติมฟิลเลอร์ ?
คอลลาเจนเป็นส่วนที่เปรียบได้กับสปริงของผิวหนัง ช่วยสร้างความตึงให้กับผิวหนังชั้นหนังแท้ คอลลาเจนโปรตีนจะเสื่อมสภาพลงเมื่ออายุมากขึ้น พอสปริงไม่เด้งเหมือนเก่า ผิวหนังจึงยุบตัวลง เกิดเป็นริ้วรอย ร่องลึก ผิวหย่อนคล้อย และความชุ่มชื่นของผิวลดลง

เติมฟิลเลอร์แล้วมีผลอย่างไรบ้าง ?
การเติมฟิลเลอร์นั้นมีจุดประสงค์ในการเติมเต็มและปรับรูปหน้าได้หลายตำแหน่ง เช่น ปรับขนาดโหนกแก้มให้ใบหน้ามีมิติ ลดร่องแก้ม (Nasolabial Fold)ลดร่องใต้ตา(Tear trough)ลดริ้วรอยบริเวณแก้ม-ริมฝีปาก รอยเหี่ยวย่นหลังมือ ขมับบุ๋ม เติมคางให้ยาวขึ้น ดู V-shape ฉีดปรับรูปหน้าให้ดูเล็กลง ได้สัดส่วนที่ดีขึ้น ทำกรอบหน้าให้ชัดขึ้น ปรับหน้าที่แบนให้ดูมีมิติแสงเงา ง่ายต่อการแต่งหน้า และโหงวเห้งดีขึ้น

 

การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์

  1. ควรดื่มน้ำให้มากๆ เพราะจะช่วยให้ฟิลเลอร์คงสภาพได้นานขึ้น
  2. ไม่ควรใช้เครื่องสำอางเป็นเวลา 4 ชั่วโมงหลังการฉีด
  3. ไม่ควรออกกำลังกายใบหน้าในช่วง 48 ชั่วโมงแรกหลังการฉีด
  4. ไม่ควรถูหรือขัดหน้าแรงๆ บริเวณที่ฉีด
  5. ไม่ควรให้ใบหน้าสัมผัสกับความร้อนจัด เช่น การซาวน่า นวดหน้า ทำเลเซอร์ อย่างน้อย 2 สัปดาห์

 

สอบถามเพิ่มเติม : แผนกผิวหนังและเลเซอร์ 02-587-0144 ต่อ 2302

ประโยชน์ของ Botox

 

 

โบท็อกซ์ คืออะไร ?
โบท็อกซ์ (Botox) เป็นชื่อทางการค้าเนื่องจากเจ้าแรกที่ผลิตใช้ชื่อสินค้าว่า Botox แต่จริงๆแล้วคือตัวยาที่ชื่อว่า Botulinum Toxin type A ซึ่งเป็นโปรตีน ชนิดหนึ่ง ที่สร้างจาก แบคทีเรีย ชื่อ คลอสตริเดียม โบทูลินั่ม (Clostridium botulinum) ออกฤทธิ์โดยการไปจับกับส่วนปลายของเซลล์ประสาท ทำให้เซลล์ประสาท ไม่สามารถหลั่งสารสื่อประสาทได้ กล้ามเนื้อจึงคลายตัว โดยจะเริ่มออกฤทธิ์ภายใน 2-3 วัน และเห็นผลสูงสุดในเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ ยกเว้นกรามจะเห็นผลได้ชัดสุดในเวลา 1-2 เดือน

 

  • ประโยชน์และการนำมาใช้ ในทางการแพทย์แล้วสาร Botulinum Toxin มีคุณสมบัติในการคลายกล้ามเนื้อ จึงถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคหรือผู้ที่มีความผิดปกติของร่างกายได้หลายอย่าง เช่น ใช้ฉีดเพื่อรักษาผู้ที่มีอาการตาเหล่  ตาเข หรือตากระตุก  อาการโรคกล้ามเนื้อบิดเกร็ง  อาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่  รวมถึงอาการปวดศีรษะจากโรคไมเกรนเรื้อรังก็สามารถใช้โบท็อกซ์รักษาได้เช่นกัน   นอกจากนี้ยังมีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการนำสาร Botulinum Toxin มาใช้กับผู้ที่มีอาการของโรคลิ้นหัวใจพิการอีกด้วย

 

  • ลดเลือนริ้วรอยบนผิวหน้า อย่างที่กล่าวไปในข้างต้นแล้วว่าโบท็อกซ์นั้นนิยมนำมาใช้ฉีดเพื่อคลายกล้ามเนื้อที่หดเกร็งบนใบหน้า จากการแสดงสีหน้าอารมณ์ต่างๆที่ทำให้เกิดริ้วรอย ทำให้ริ้วรอยลดเลือนลง ผิวกลับมาเรียบตึงอีก  เช่น  ริ้วรอยบริเวณหน้าผาก  หางตา  หว่างคิ้ว รอยย่นจมูก คอ เป็นต้น  โดยแพทย์จะฉีดโบท็อกซ์ในปริมาณที่เหมาะสมในบริเวณที่ต้องการ  จากนั้นโบท็อกซ์จะทำปฏิกิริยากับกล้ามเนื้อและ จะเริ่มเห็นผลได้ภายใน 2-3 วัน และผลจะยิ่งเด่นชัดมากขึ้นเมื่อ 7-14 วันผ่านไป

 

  • แก้ไขรูปหน้าให้เรียว V-Shape ด้วยคุณสมบัติของโบท็อกซ์ จึงสามารถแก้ไขโครงสร้างใบหน้าที่แลดูเหลี่ยม อันเกิดจากกล้ามเนื้อที่อาจใหญ่อยู่เดิมหรือจากพฤติกรรมบางอย่างที่ไปกระตุ้นให้กล้ามเนื้อบริเวณนี้ใหญ่ขึ้น  เช่น  การนอนกัดฟัน  การเคี้ยวอาหารที่เหนียวบ่อยครั้งโบท๊อกซ์ที่ฉีดเข้าไปบริเวณดังกล่าวจะช่วยลดขนาดกล้ามเนื้อในบริเวณที่ฉีดให้เล็กลง  รูปหน้าที่ใหญ่และเป็นเหลี่ยมจะค่อยๆ เรียวเล็กลง  โครงหน้าได้รูป  V-shape

 

  • Lifting ช่วยยกกระชับ จัดรูปกรอบหน้า และลำตัวให้ชัดขึ้น

 

  • ปรับขนาดของน่องให้เรียวเล็ก สำหรับคุณผู้หญิงที่มีน่องใหญ่ สาเหตุเกิดจากกล้ามเนื้อ Medial Gastrocnemius  (กล้ามเนื้อบริเวณน่อง)  มีขนาดใหญ่อยู่เดิม เกิดจากการใช้งานกล้ามเนื้อบริเวณนั้นๆมาก Botox จะช่วยลดขนาดกล้ามเนื้อให้เล็กลง น่องดูเรียวขึ้น

 

  • แก้ปัญหากลิ่นรักแร้เหงื่อออกมาก กลิ่นเกิดจากเหงื่อที่รูขุมขนบริเวณรักแร้ขับออกมา เมื่อเกิดการหมักหมมและผสมรวมกับแบคทีเรียที่อยู่รอบตัวเรา  จึงทำให้เกิดกลิ่นฉุน  บั่นทอนบุคลิกภาพของเราให้ลดลงไปโบท็อกซ์ที่ฉีดเข้าไปที่รักแร้จะออกฤทธิ์ยับยั้งสารสื่อประสาท Acetylcholine ที่กระตุ้นการหลั่งของเหงื่อ  ช่วยลดการขับเหงื่อจากรักแร้ได้กว่า 80% เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้ฉีดโบท็อกซ์  ทั้งยังช่วยให้รูขุมขนบริเวณรักแร้เล็กลง  ผิวเรียบเนียนขึ้นได้

 

  •  รักษาอาการ Office Syndrome การนั่งทำงานการนั่งหน้าคอมพิวเตอร์หรือการแบกกระเป๋าหนักๆ ทำให้ปวดสะบัก การฉีด Botox จะช่วยให้หายปวด ไหล่และบ่าดูระหงษ์ขึ้น อยู่ได้นาน 6-8 เดือน ไม่ต้องทนอาการปวดอีกไม่ต้องเสียเวลาและเงินไปกับการนวดบ่อยๆ เป็นการแก้ไขจากที่ต้นเหตุ

 

การปฏิบัติตัวหลังการฉีด Botulinum Toxin Type A และ Type B

  • สามารถใช้น้ำแข็งประคบในกรณีที่มีอาการบวมแดงหรือช้ำได้
  • ผู้ป่วยจะเริ่มเห็นผลการรักษาใน 2-7 วัน และเห็นผลการรักษาสูงสุดในสองสัปดาห์
  • ห้ามนอนราบ 4 ชั่วโมงหลังการฉีด
  • งดทำหน้านวดหน้าเป็นเวลา 2 สัปดาห์
  • งดออกกำลังกายหนักๆ งดการโดนความร้อนจัด เช่น การแช่บ่อน้ำร้อน,โยคะร้อน สามารถอาบน้ำและล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นได้
  • งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอลฮอลล์ อย่างน้อย 24 ชั่วโมง
  • กลับมาพบแพทย์เมื่อมีข้อสงสัยหรือสิ่งผิดปกติใดๆ

 

สอบถามเพิ่มเติม :
คลินิกผิวหนังและคอสเมติก ชั้น 3 อาคาร 2 โรงพยาบาลบางโพ
02-587-0144 ต่อ 2302

 

 

 

 

 

ทำจมูกทั้งทีซิลิโคนประเทศไหนดี

 

ซิลิโคนที่ใช้ในการศัลยกรรมจมูก แบ่งออกได้ 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ

    1. ซิลิโคนสำเร็จรูป  เป็นซิลิโคนที่ขึ้นรูปร่างมาสำเร็จพร้อมที่จะใส่ให้กับผู้ใช้บริการ  ถูกกำหนดให้มีความกว้างและยาวที่แตกต่างกัน ก่อนทำการเสริมจมูกแพทย์จะปรับแต่งซิลิโคนเล็กน้อยเพื่อให้ได้รูปทรงที่เหมาะสมกับโครงจมูกแต่ละคน

ข้อดีของซิลิโคนสำเร็จรูป คือ ได้รูปทรงที่แน่นอน โอกาสเอียงมีน้อยมาก และมีให้เลือกหลายเกรด ความแข็ง-นิ่มมีหลายระดับ ช่วยประหยัดเวลาในการผ่าตัด

   2. ซิลิโคนแบบเหลาเอง ซิลิโคนมีลักษณะเป็นแผ่นใหญ่ แพทย์จะทำการเหลาซิลิโคนเองให้เหมาะกับทรงจมูกของแต่ละคน ข้อดีคือสามารถเหลาปรับรูปทรงให้เหมาะสมกับโครงจมูกของแต่ละคนได้ ออกแบบรูปทรงจมูกได้ดี

ตามความต้องการของแต่ละบุคคล แต่จะมีความยุ่งยากในการเหลาให้ได้รูปทรง ใช้ระยะเวลานาน ถ้าเหลาซิลิโคนไม่ดีก็จะทำให้มีโอกาสเอียงได้

 

 

 

ญี่ปุ่น เป็นซิลิโคนมาตรฐานธรรมดา โดยนำเข้าวัตถุดิบมาจากประเทศญี่ปุ่น

ดำเนินการผลิตในประเทศไทย เป็นซิลิโคนมีสีเหลืองอ่อน เนื้อซิลิโคนค่อนข้างแข็ง

อาจจะเสี่ยงทะลุได้ สำหรับผู้ที่มีเนื้อจมูกน้อยไม่ควรใช้ซิลิโคนชนิดนี้

 

 

 

 

 

 

 

 

เกาหลี เป็นซิลิโคนสำเร็จรูป มาตรฐานพิเศษคุณภาพดี มีจุดเด่นตรงที่ช่วงโคนจมูก

และปลายจมูกมีความนิ่มมาก มีความยืดหยุ่นตัวสูง ไม่มีโอกาสจะทะลุและเอียงได้เลย

เนื่องจากมีความนิ่มมากความคงรูปของทรงจมูกก็อาจทำได้ไม่ดีมากนักเมื่อเสริมไปในระยะเวลานานๆ

 

 

 

 

 

 

สหรัฐอเมริกา เป็นซิลิโคนมาตรฐานพิเศษ มีความบริสุทธิ์ มีความปลอดภัยและคุณภาพดี (Medical Grade Silicone)

ซิลิโคนมีสีขาว เนื้อนิ่ม เนียน ละเอียดมาก และมีความยืดหยุ่นได้ดี ดังนั้นจึงมีความนิยมเลือกใช้กันมากที่สุด

เนื่องจากเนื้อของซิลิโคนมีความนิ่มปานกลาง และไม่นิ่มจนเกินไป สามารถเหลาปรับแต่งรูปทรงได้ตามต้องการได้ดี

เหมาะสำหรับผู้ที่มีเนื้อบริเวณของสันจมูกค่อนข้างมาก หรือคนที่มีโครงจมูกที่ยาว หลังจากเสริมจมูกด้วยซิลิโคนของประเทศอเมริกาแล้ว

นอกจากจะทำให้ จมูกดูโด่งสวยเนียน และยังไม่มีโอกาสที่จะยุบตัวลง เมื่อเสริมไปนาน ๆ อีกด้วย

 

ศูนย์อุบัติเหตุ-ฉุกเฉิน Emergency Center

ศูนย์อุบัติเหตุ-ฉุกเฉิน Emergency Center

         

ด้วยความตระหนักถึงความพร้อมและความสำคัญในการดูแลผู้ป่วยอย่างเร่งด่วนและทันท่วงที  โดยคำนึงถึงความปลอดภัยและโอกาสในการรอดชีวิตของผู้ป่วย จึงได้จัดให้มีแพทย์ที่มีประสบการณ์หลายสาขา และ ทีมสหวิชาชีพ พร้อมดูแลผู้ป่วยในเวลาฉุกเฉินได้อย่างทันท่วงที นอกจากนี้ มีบริการรถพยาบาลฉุกเฉินรับ-ส่งผู้ป่วยมาโรงพยาบาลบางโพ (Pre-hospital care) ได้จัดแพทย์เฉพาะประจำที่ศูนย์อุบัติเหตุ-ฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้ท่านได้รับการแก้ไขภาวะฉุกเฉินอย่างทันท่วงทีและเหมาะสม

โดยเฉพาะสำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะฉุกเฉินทางโรคหลอดเลือดสมองตีบ อุดตันเฉียบพลัน จะสามารถเข้าถึงบริการการตรวจวินิจฉัยและรักษาโดยแพทย์เฉพาะทางได้อย่างรวดเร็ว สามารถลดอัตราการเสียชีวิตและความพิการ

การบริการ
–  การตรวจรักษา ปฐมพยาบาลเบื้องต้น ในภาวะฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง
–  การบริการรถพยาบาลฉุกเฉิน (Ambulance) พร้อมบุคลากรทางการแพทย์และอุปกรณ์ที่ทันสมัย
–  การตรวจรักษาภาวะอุบัติเหตุจราจร รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ฯลฯ
–  การตรวจรักษาภาวะอุบัติเหตุทั่วไป เช่น ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ไฟดูด หกล้ม มีบาดแผล สัตว์กัด
–  ภาวะฉุกเฉินทางศัลยกรรม เช่น ปวดท้องรุนแรง ไม่ทราบสาเหตุ ไส้ติ่งอักเสบ ลำไส้อุดตัน
–  ภาวะฉุกเฉินทางอายุรกรรม เช่น ภาวะช๊อค หัวใจขาดเลือด ภาวะชัก หอบ สมองขาดเลือด
–  ภาวะฉุกเฉินในเด็ก เช่น  ภาวะไข้สูง ชัก อาเจียน ท้องเสีย ช๊อค
–  ภาวะฉุกเฉินอื่นๆ

ศูนย์อุบัติเหตุ – ฉุกเฉิน  โรงพยาบาลบางโพ

โทร. 02 587 0144  ต่อ 20

ศูนย์ตรวจสุขภาพและอาชีวอนามัย Wellness & Occupational Health Center

ศูนย์ตรวจสุขภาพและอาชีวอนามัย  Wellness & Occupational Health Center

     ตั้งอยู่ชั้น 3 อาคารศูนย์การแพทย์  ให้บริการตรวจสุขภาพในพื้นที่ที่เป็นสัดส่วน กว้างขวาง สะดวก สบาย รวดเร็ว ได้ผลการตรวจแม่นยำศให้บริการตรวจสุขภาพทั้งในโรงพยาบาลและนอกสถานที่ มีบริการด้านอาชีวอนามัยแบบครบวงจร (Occupational Health Service) ตามสถานประกอบการต่าง ๆ โดยทีมแพทย์อาชีวเวชศาสตร์

  1. บริการ wellness (ตรวจสุขภาพ) ตรวจสุขภาพประจำปี ตรวจ (การทำประกันชีวิต) ตรวจสุขภาพเพื่อศึกษาต่อในประเทศ และต่างประเทศ  ตรวจก่อนเดินทางไปทำงานต่างประเทศ บริการวัคซีนป้องกันโรค โดยจัดโปรแกรมการตรวจที่สามารถเลือกได้ตามความต้องการและความเหมาะสมของแต่ละบุคคล 
  2. บริการ Occupational(อบรมด้านอาชีวอนามัย) ตรวจสุขภาพตามความเสี่ยง หู-ตา-ปอด ตามโปรแกรมอาชีวอนามัย , ตรวจผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่อับอากาศ , ตรวจผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่สูง , ตรวจสุขภาพก่อนเริ่มงาน
  3. บริการตรวจสุขภาพ ณ สถานประกอบการ  ตรวจสุขภาพนอกสถานที่  (Mobile check up) 
  4. บริการตรวจสุขภาพ Check up ในสถานที่

ตรวจสุขภาพ

  • ก่อนเริ่มงาน
  • ประจำปี (ในและนอกสถานที่)
  • ตรวจเพื่อทำประกันชีวิต
  • ตรวจเพื่อไปทำงานต่างประเทศ
  • บริการฉีดวัคซีนป้องกันโรค
  • ตรวจตามปัจจัยเสี่ยง
  • ใบรับรองแพทย์  (ศึกษาต่อในและต่างประเทศ / จัดตั้งร้านอาหาร /ต่ออายุใบอนุญาต แรงงานต่างชาติ

       โรคทั่วไป General Diseases

       เป็นโรคทั่วไปที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทำงาน สามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้ เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไข้หวัด เป็นต้น
โรคที่เกี่ยวเนื่องจากการทำงาน Work Related Diseases เป็นโรคที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการทำงานโดยตรง แต่การทำงานเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งเสริมให้เกิดโรค หรืออาจส่งผลให้โรคที่เป็นรุนแรงมากขึ้น เช่น โรคความดันโลหิตสูงจากความเครียด จากการทำงาน โรคกระเพราะอาหารจากการทำงานกะ เป็นต้น
โรคที่เกิดจากการประกอบอาชีพ Occupational Diseases เป็นโรคที่เกิดจากการสัมผัสสิ่งคุกคามโดยตรงจากการทำงาน เช่น โรคพิษตะกั่ว โรคซิลิโคซิสจากการสัมผัสฝุ่นหิน เป็นต้น
       สำหรับผู้ที่ทำงานนั้น ไม่ว่าจะทำงานในอาชีพไหนก็ล้านมีความเสี่ยงต่อโรคที่เกิดขึ้นจากการทำงานอันเนื่องมากจากการสัมผัสสิ่งคุกคามในที่ทำงานทั้งสิ้น โดยสิ่งคุกคามในที่ทำงานที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ อาจแบ่งได้เป็น

  1. สิ่งคุกคามด้านกายภาพ Physical Hazards ได้แก่การทำงานในที่เสียงดัง แสงสว่างน้อยหรือจ้าจนเกินไป การทำงานกับรังสี ความร้อน ความเย็นและการสั่นสะเทือน เป็นต้น
  2. สิ่งคุกคามด้านเคมี Chemical Hazards ได้แก่ การทำงานที่ต้องสัมผัสกับสารต่าง ๆ เช่น สารโลหะหนัก สารตัวทำละลาย กรด-ด่าง ก๊าซพิษ สารกำจัดศัตรูพืช เป็นต้น
  3. สิ่งคุกคามด้านชีวภาพ Biological Hazards ได้แก่ การทำงานที่ต้องสัมผัสกับเชื้อโรคต่างๆ เช่น เบื้อ แบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา ปรสิต
    ต่าง ๆ 
  4. สิ่งคุกคามด้านการยศาสตร์ Ergonomics ได้แก่ การทำงานด้วยท่าทางที่ผิดธรรมชาติ การใช้เครื่องมือต่าง ๆ รวมถึงสถานีทำงานที่ไม่เหมาะสมกับสรีระและกายวิภาคของผู้ที่ทำงาน ซึ่งจะส่งผลให้เกิดโรคทางระบบกล้ามเนื้อและสิ่งคุกคามด้านจิตวิทยาสังคม Psychosocial ได้แก่ความเครียดจากการทำงาน เป็นต้น


อาชีวอนามัย (Occupational Health) คืออะไร

        อาชีวอนามัยเป็นการดำเนินการที่เกี่ยวกับ การป้องกันโรค การส่งเสริมสุขภาพ การรักษาพยาบาล การฟื้นฟูสมรรถภาพ และการ
จัดการเพื่อให้ผู้ประกอบอาชีพสามารถประกอบอาชีพได้อย่างปลอดโรค ปลอดภัยทั้งชีวิตและทรัพย์สิน มีสภาวะที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ และสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ ประสิทธิผล

องค์การอนามัยโลก(WHO) กำหนดว่า งานอาชีวอนามัยควรมีองค์ประกอบดังนี้
  1. ส่งเสริม(promotion)และธำรงรักษา(maintenance)ให้คนทำงานมีสุขภาพร่างกาย(physical)จิตใจ(mental)ที่สมบูรณ์ และมีความเป็น
อยู่ที่ดีในสังคม(social well being)
  2. ป้องกัน (prevention)คนทำงานมิให้มีสุขภาพเสื่อมโทรม  อันมีสาเหตุมาจากการทำงาน
  3. ปกป้อง (protection)คนทำงาน มิให้ทำงานเสี่ยงต่ออันตราย
  4. บรรจุ (placing)คนทำงาน ให้ทำงานในสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมกับสมรรถภาพทางร่างกายและจิตใจ
  5. การปรับคนให้เข้ากับงานและปรับงานให้เข้ากับคน (Adaptation)
       ดังนั้นการที่จะทำให้ผู้ประกอบอาชีพทั้งหลาย มีสุขอนามัยที่ดีทั้งร่างกาย และจิตใจ  จึงจำเป็นที่จะต้องจัดให้มีบริการด้านอาชีวอนามัย     
(Occupational Health Service) ขึ้นในสถานประกอบการ เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้น จากการสัมผัสกับสิ่งคุกคามต่างๆในสถานประกอบการ เช่น การทำงานที่ต้องสัมผัสเสียงดัง การทำงานที่ต้องสัมผัสสารเคมี และเชื้อโรคต่างๆ ตลอดจนท่าทางการทำงานที่ไม่ถูกต้อง โดยศูนย์lสุขภาพและอาชีว อนามัย (Wellness &Occupational Health Service Center) ของโรงพยาบาลบางโพ  ได้จัดให้มีบริการด้านอาชีวอนามัยแบบครบวงจร (Occupational Health Service) ตามสถานประกอบการต่างๆ โดยทีมแพทย์วุฒิบัตรอาชีวเวชศาสตร์และพยาบาลอาชีวอนามัย ซึ่งการให้บริการประกอบด้วย
1. การประเมินความเสี่ยงต่อสุขภาพ (Health Risk Assessment)  ซึ่งทำได้โดยการเดินสำรวจสถานประกอบการ (Walk Through
       Survey) เพื่อค้นหาความเสี่ยง ประเมินความเสี่ยง และหามาตรการในการดำเนินการเพื่อควบคุมความเสี่ยงต่างๆที่พบ
2. การเฝ้าระวังทางสุขภาพ (Medical Surveillance) ซึ่งประกอบด้วย การตรวจสุขภาพก่อนเข้างานเพื่อวางคนให้เหมาะสมกับงาน (Fit For
Work) และการตรวจสุขภาพประจำปี (Annual Health Examination)ซึ่งจะเป็นการตรวจสุขภาพตามความเสี่ยงจากการทำงาน
3. การจัดบริการทางการแพทย์ (Medical Service)  เช่น การจัดบริการที่ห้องพยาบาล เพื่อดูแลสุขภาพของพนักงานในเบื้องต้น
4. การส่งเสริมสุขภาพ (Health Promotion) เช่น การให้ภูมิคุ้มกัน การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และการส่งเสริมให้พนักงานมีสุขภาพที่แข็ง
แรงด้วยวิธีต่างๆ

สนใจการตรวจสุขภาพขององค์กร แบบอาชีวอนามัย ติดต่อได้ที่
แผนกการตลาด-ตรวจสุขภาพ  0-2587-0144 ต่อ 2110-2113
ทุกวันจันทร์ – ศุกร์ 8.00-17.00 น.

ข้อมูลโดย นพ.ณัฐพล ประจวบพันธ์ศรี
แพทย์ที่ปรึกษาด้านอาชีวเวชศาสตร์ รพ.บางโพ
– แพทยศาสตร์บัณฑิตเกียรตินิยมอันดับ 1 จากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปี พ.ศ. 2543
– ประกาศนียบัตร อบรมแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ หลักสูตร 2 เดือน จากกรมการแพทย์กระทรวงสาธารสุข ปี พ.ศ. 2549
– ปริญญาโทวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาอาชีวเวชศาสตร์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปี พ.ศ.2551
-วุฒิบัตรสาขาอาชีวเวชศาสตร์ จากโรงพยาบาลนพรัตน์ราชธานี ปี พ.ศ.2552

โปรโมชั่น ชิลล์ ชิลล์ “ผิวสวยใส สุขภาพดี”

โปรโมชั่น ชิลล์ ชิลล์ “ผิวสวยใส สุขภาพดี”

ดูแลผิวหน้า

ดูแลรอบดวงตา

ดูแลใต้วงแขน รักแร้

โปรโมชั่น ชิลล์ ชิลล์ "ผิวสวยใส สุขภาพดี"

โปรแกรมดูแลผิวพรรณด้วย 4 เทคโนโลยี เพื่อฟื้นฟูผิวพรรณคืนความสดใสอ่อนเยาว์

Elight : ปรับสภาพฟื้นฟูผิวพรรณ
HELIOS III : รบรอยด่างดำ รอยแดง รอยสัก
Infusion : ผลักสารเข้าสู่ชั้นผิวหน้าโดย IONWAVE
Diamond Peel : ผลัดเซลล์ผิวให้อ่อนเยาว์

สอบถามเพิ่มเติม โทร 02-587-0144 ต่อ 2302
แผนกผิวหนัง อาคาร 2 ชั้น 3 : โรงพยาบาลบางโพ
ติดตามข่าวสารของเราได้ที่ : facebook.com/BangpoHospital