Infusion กระชับผิวหน้าและผิวกาย

Infusion กระชับผิวหน้าและผิวกาย วิตามินแทรกซึมสู่ใต้ผิวหนังชั้นใน

Infusion  (Revealing healthy and youthful skin)
Infusion เป็นการผลักวิตามินเข้าสู่ชั้นผิวหนัง โดยการใช้กระแสไฟฟ้า (IONWAVE) ซึ่งมีความถี่และระยะเวลาของการปล่อยกระแสไฟฟ้า ที่เหมาะสมทำให้เกิดการจัดเรียงตัวใหม่เป็นช่องว่างเล็กๆ (Micro channel) ขึ้นที่ผนังเซลล์ เพื่อรับวิตามินที่ต้องการ จาก นั้นผนังเซลล์จะกลับคืนสู่สภาพปกติ การรักษา ด้วย Infusion มีประสิทธิภาพของสูงกว่า การทำทรีตเมนต์ ด้วยไอออนโต หรือ โฟโนโฟรีซิส ทั่วๆ ไป เพราะสามารถผลักสารได้ในปริมาณที่มากกว่า และลงไปในผิวได้ลึกยิ่งกว่า โดยที่ไม่รู้สึกเจ็บ
ประสิทธิภาพการรักษา
  • ลดปัญหาผิวเปลือกส้ม ในระยะสั้นๆ (Temporary reduction in the appearance of cellulite)
  • ลดการสะสมของไขมันเฉพาะส่วนของร่างกาย (Temporary reduction of local fat)
  • ลดริ้วรอยต่างๆ (Minimizing fine lines and wrinkles)
  • กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว (Skin Rejuvenation)
  • กระชับผิวหน้าและผิวกาย (Skin tightening for body and face)
  • ลดสัดส่วนผิวกาย (Body sculpting and contouring)
การรักษาด้วยเทคโนโลยี  Infusion
ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาประเทศอเมริกา (US FDA)และประเทศไทย (THAI FDA)
  • เป็นการรักษาที่มีความปลอดภัยสูง
  • สามารถผลักสารหรือวิตามินที่ต้องการใช้ในการรักษาได้หลายชนิด ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการรักษา
  • ขณะเข้ารับการรักษา จะรู้สึกยิบๆ เล็กน้อย หรืออาจไม่รู้สึกเลยก็ได้
  • เห็นผลการรักษาชัดเจน ตั้งแต่หลังการรักษาครั้งแรก
  • ใช้ร่วมกับการรักษาชนิดอื่นๆได้ เช่น การกรอผิว หรือทำเลเซอร์
ข้อห้ามใช้ Infusion
  1. ผู้ที่มีเครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker of internal defibrillator)
  2. ผู้ที่ได้รับการผ่าตัดดามเหล็กในบริเวณที่ทำการรักษา (Superficial metal or other implants in the treatment area)
  3. ผู้ที่มีความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันควรปรึกษาแพทย์ก่อน (Immune system disorders)
  4. ผู้ที่มีประวัติเป็นโรคลมชัก (Epilepsy)
  5. ผู้ที่ตั้งครรภ์ (Pregnancy)
  6. ผู้ที่รับการฉีดโบท็อกซ์หรือคอลลาเจนควรทิ้งระยะห่าง อย่างน้อย 15 วันหลังจากรับการฉีด (Botox or another type of collagen
    treatment within the last 15 days)
  7. ผู้ที่รับการผ่าตัด ซึ่งอยู่ในช่วง 40 วันหลังการผ่าตัด (Surgery of any type within the last 40 days)
  8. ผู้ที่มีโรคผิวหนังเรื้อรังต่างๆ และอยู่ในระยะที่แสดงอาการ (Any chronic or active skin disease such as eczema, psoriasis, sores and rash)
  9. ผู้ที่มีอาการของโรคเริม (Herpes zoster)
คำแนะนำและการดูแลหลังการรักษา
  1. หลังการรักษาสามารถแต่งหน้า และปฏิบัติตัวได้ตามปกติ หลีกเลี่ยงการโดนแดดจัด 2 อาทิตย์หลังทำ และควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงกว่า 30
  2. สภาพผิวดีขึ้น ตึงกระชับขึ้น และผิวกระจ่างใสขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกของการรักษา
  3. การรักษาขึ้นอยู่กับสภาพผิว และปัญหาของผิวของแต่ละคนซึ่งแพทย์จะทำการวินิจฉัยและดูแล
  4. ควรทำการรักษาต่อเนื่อง 6-8 ครั้ง ทุกๆ 7-10 วัน และรักษาเพื่อคงสภาพผลการรักษา (maintenance) ทุกๆ 4-6 สัปดาห์

โปรแกรมและแพ็คเกจ

Checklist…โรคฮิตวัยซน

Checklist...โรคฮิตวัยซน

Childhood Hits Disease
 
Checklist…โรคฮิตวัยซน
ลูกเป็นดั่งดวงใจจองพ่อและแม่ ลูกในช่วงวัยทารกถึงวัยเด็ก เป็นช่วงวัยที่ต้องการ การเอาใจใส่ดูแลอย่างมาก โดยเฉพาะในเรื่องของสุขภาพ เพราะระบบภูมิต้านทานและอวัยวะในร่างกายของเด็ก ๆ นั้นเปราะบางไม่เหมือนกับผู้ใหญ่ ดังนั้นในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลงหรือช่วงที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสต่าง ๆ เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ โรคมือเท้าปาก โรคอุจจาระร่วง ไข้ชัก เป็นต้น คุณแม่คุณพ่อจึงต้องดูแลเป็นพิเศษ และหากพบอาการปกติ ให้พบกุมารแพทย์ทันที

Checklist…โรคฮิตวัยซน

เลื่อนซ้าย ขวา เพื่อดูข้อมูล

โปรแกรมและแพ็คเกจ

โปรแกรมตรวจสุขภาพสำหรับเด็ก

โปรแกรมตรวจสุขภาพสำห […]

วัคซีนปัองกันโรคมือ เท้า ปาก (EV71)

วัคซีนป้องกันโรคมือเ […]

สาระน่ารู้ “อาหารบำบัดภาวะไขมันในเลือดสูง”

สาระน่ารู้ “อาหารบำบัดภาวะไขมันในเลือดสูง”

Knowledge "Food for Dyslipidemia"
ข้อแนะนำในการรับประทานอาหาร ปริมาณคอเลสเตอรอลในอาหารส่วนรับประทานได้
  1. รับประทานอาหารที่มีไขมันหรือน้ำมันน้อย เลือกวิธีการหุงต้มอาหารแบบ ต้ม ตุ๋น นึ่ง อบ ยำ หรือผัดน้ำมันน้อย
  2. ควรใช้น้ำมันพืชชนิดกรดไขมันไม่อิ่มตัว (unsaturated fattyacid) ในการประกอบอาหาร เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง (ในปริมาณวันละ 5-7 ช้อนชา)
  3. เน้นการรับประทานเต้าหู้และเนื้อปลา โดยเฉพาะปลาทะเล เช่น ปลาทู ปลาซาบะ ปลาโอ ปลาทูน่า ปลาแซลมอน จะช่วยในการเพิ่มไขมันดีในเลือด (HDL) และลดระดับไขมันไม่ดีในเลือด (LDL Triglyceride)
  4. รับประทานผักและผลไม้ไม่หวานจัดเป็นประจำทุกมื้อ และให้หลากหลาย (ผักและผลไม้ไม่ควรน้อยกว่า 400 กรัม/วัน)
  5. หลีกเลี่ยงน้ำมันชนิดกรดไขมันอิ่มตัวสูง (saturated fatty acid) เช่น น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว กะทิ น้ำมัน หมู ไก่
  6. หลีกเลี่ยง เนื้อสัตว์ติดมัน ติดหนัง และอาหารไขมันสูง เช่น อาหารทอดต่างๆ ข้าวมันไก่ แกงกะทิ ปลาท่องโก๋ กล้วยแขก ข้าวหาหมู ผัดไท หอยทอด ผัดซีอิ้ว
  7. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีโคเลสเตอรอลสูง เช่น ไข่แดง ปลาหมึก เนื้อสัตว์ติดมันติดหนัง เครื่องในสัตว์ติดมัน ติดหนัง เครื่องในสัตว์
  8. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันทรานซ์สูง (Trans fatty acid) เช่น พาย โดนัท ขนมขบเคี้ยว เนยเทียม มาการีน หรือ หนมเบเกอรรี่ต่างๆ
  9. ควบคุมปริมาณการรับประทานอาหารกลุ่มข้าว-แป้ง และควรรับประทานอาหารมื้อเย็นก่อน 18.00 น (ควบคุมหรือป้องกันภาวะ Triglyceride สูง)
  10. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหวานหรือมีน้ำตาลสูง เช่น ขนมหวานต่างๆ น้ำหวาน น้ำผลไม้ต่างๆ น้ำอัดลม (ควบคุมหรือป้องกันภาวะ Triglyceride สูง)
  11. งดการสูบบุหรี่ แลงดเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอร์ทุกชนิด
  12. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ วันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 5 วัน
  13. ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม (ค่า BMI = 18.5-22.9)
คำนวณ BMI

ตารางแสดงปริมาณโคเลสเตอรอลในอาหารส่วนรับประทานได้ 100 กรัม
ชนิดอาหาร
ปริมาณ(กรัม)
100 g.
โคเลสเตอรอล(มก.)
Cholesterol(mg.)
ประเภทไข่
ไข่ไก่ (ไข่แดง)
6 ฟองใหญ่
1602
ไข่ไก่ (ไข่ขาว)
3 ฟองใหญ่
0
ไข่ไก่ทั้งฟอง
2 ฟองใหญ่
548
ไข่นกทาทั้งฟอง
11 ฟองใหญ่
844
ไข่เป็ดทั้งฟอง
2 ฟองกลาง
884
ไข่ปลา
10 ช้อนชา
374
ประเภทอาหารทะเล
ปลากระพงแดงสุก
8 ช้อนโต๊ะ
45
ปลาเก๋าทะเลสุก
8 ช้อนโต๊ะ
37
ปลาทูสุก
8 ช้อนโต๊ะ
45
ปลาโอสุก
10 ช้อนโต๊ะ
46
ปลากระบอกสุก
8 ช้อนโต๊ะ
60
ปลาหมึกดองสุก
10 ช้อนโต๊ะ
224
ปลาหมึกกล้วยสุก
10 ช้อนโต๊ะ
260
กุ้งสุก
8 ช้อนโต๊ะ
195
เนื้อปูสุก
10 ช้อนโต๊ะ
100
หอยนางรมสุก
4 ตัวขนาดกลาง
100
หอยแครงสุก
15 ตัวขนาดกลาง
67
หอยแมลงภู่สุก
15 ตัวขนาดกลาง
56
หอยเชลล์สุก
7 ตัวขนาดกลาง
61
ประเภท หมู ไก่
เนื้อหมูล้วน
10 ช้อนโต๊ะ
65
เนื้อหมูติดมัน
7 ช้อนโต๊ะ
72
เนื้อหมูติดมัน
10 ช้อนโต๊ะ
93
หมู 3 ชั้น
7 ช้อนโต๊ะ
72
ซี่โครงหมูสุก
10 ช้อนโต๊ะ
121
ตับหมูสุก
10 ช้อนโต๊ะ
355
ไส้หมูสุก
10 ช้อนโต๊ะ
143
กระเพราะหมูสุก
8 ช้อนโต๊ะ
276
ไตหมูสุก
10 ช้อนโต๊ะ
480
ปอดหมูสุก
10 ช้อนโต๊ะ
387
หัวใจหมูสุก
10 ช้อนโต๊ะ
221
หัวใจหมูสุก
10 ช้อนโต๊ะ
2552
แคบหมู
2.5 ถ้วยตวง
95
แคบหมูติดมัน
2.5 ถ้วยตวง
328
เบคอนสุก
10 ช้อนโต๊ะ
85
แฮม
10 ช้อนโต๊ะ
59
กึ๋นไก่
8 ช้อนโต๊ะ
171
เนื้อไก่ล้วนสุก
10 ช้อนโต๊ะ
89
เนื้อไก่ติดหนัง
7 ช้อนโต๊ะ
75
ตับไก่สุก
10 ช้อนโต๊ะ
631

โปรแกรมและแพ็คเกจ

โปรแกรมตรวจสุขภาพ ”สมองและระบบประสาท"
Promotion ชุดตรวจสุขภาพ ลด 20%
โปรแกรมตรวจคัดกรองความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง

การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง(EEG)

การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG)

Electroencephalography
การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมองคืออะไร
การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมองหรือ EEG เป็นการบันทึกสัญญาณไฟฟ้า ซึ่งเกิดจากผลรวมของกระแสไฟฟ้าของกลุ่มเซลล์ในสมอง ผลการตรวจจะปรากฏในรูปแบบกราฟบนแถบกระดาษหรือในจอภาพ (มอนิเตอร์)
ขั้นตอนการตรวจคลื่นไฟฟ้าสมองมีอะไรบ้าง
  1. ผู้ตรวจติดอิเลคโทรดบนหนังศีรษะในตำแหน่งต่าง ๆ
  2. เมื่อเปิดเครื่องตรวจ สัญญาณไฟฟ้าจากสมอง จะปรากฏเป็นเส้นกราฟบนแถบกระดาษหรือจอภาพตลอดเวลาที่ตรวจ
  3. ผู้ป่วยสามารถนอนหลับตาในขณะตรวจบางครั้ง ผู้ตรวจอาจขอให้ลืมตา หลับตา หายใจเข้าออกลึก ๆ คิดคำนวณ หรือ จำคำต่าง ๆ ขณะตรวจ
  4. ระยะเวลาการตรวจนานประมาณ 1 ชั่วโมง หรืออาจนานกว่านี้ ถ้ามีการตรวจพิเศษ
  5. มักมีการถ่ายวิดีโอไปพร้อมกับการบันทึกคลื่นสมองเพื่อวินิจฉัยได้ดีขึ้น
  6. กรณีเด็กเล็กหรือเด็กที่มีปัญหาทางพัฒนาการที่ไม่ให้ความร่วมมือ อาจต้องให้ยานอนหลับ หลังจากนั้นอาจปลุกเด็กให้ตื่น เพื่อตรวจในขณะตื่นด้วย
นอกจากขั้นตอนดังกล่าวแล้วยังมีวิธีกระตุ้นให้ผิดปกติในคลื่นสมองบางชนิดปรากฏชัดเจนมากขึ้นได้แก่
  1. การหายใจลึกนาน 3 – 5 นาที
  2. ใช้แสงไฟกระพริบฉายที่ใบหน้าผู้ป่วย แสงไฟกระพริบนี้ไม่เป็นอันตรายใด ๆ ต่อผู้ป่วย
  3. การอดนอน โดยเข้านอนดึกที่สุดและปลุกให้ตื่นเช้ากว่าปกติ
การเตรียมตัวก่อนมาตรวจคลื่นสมอง
การเตรียมตัวก่อนมาตรวจคลื่นสมองสามารถลดเวลาการตรวจคลื่นสมองและไม่ต้องเสียเวลากลับมาทำซ้ำ การเตรียมตัวทำดังนี้
  1. สระผมให้สะอาด ห้ามใส่น้ำมันหรือครีมใดๆ
  2. ถ้ากินยากันชักอยู่ให้กินต่อไปห้ามหยุดยากันชักเองอย่างกะทันหันเพื่อทำการตรวจ ยกเว้นกรณีแพทย์ระบบประสาทบอกให้หยุด
  3. เด็กเล็กผู้ปกครองควรเตรียมขวดนมหรือน้ำ และของเล่นของเด็กมาด้วย
  4. ในเด็ก ถ้าสามารถทำให้เด็กไม่นอนหลับก่อนมาตรวจเด็กอาจหลับได้ขณะที่ทำการตรวจโดยไม่ต้องให้ยานอนหลับ
การตรวจคลื่นสมองในผู้ป่วยโรคลมชักจะพบความผิดปกติเสมอหรือไม่
ผู้ป่วยโรคลมชักอาจตรวจไม่พบความผิดปกติในการตรวจคลื่นสมองเพียงครั้งเดียว ดังนั้นผลการตรวจที่ปกติไม่ได้หมายความว่าไม่ได้เป็นโรคลมชัก

โปรแกรมและแพ็คเกจ

5 ไอเดียการเลือกของขวัญให้คุณและคนที่คุณรัก

5 ไอเดียการเลือกของขวัญให้คุณและคนที่คุณรัก

Gift for Health
เริ่มเข้าสู่เทศกาลปีใหม่ ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาแห่งความสุข  หลายคนคงมองหาของขวัญให้กับตัวเอง หรือเพื่อมอบให้คนที่เรารัก แต่ของขวัญเหล่านั้นจะได้ประโยชน์ทางด้านไหนกันนะ วันนี้จึงมานำเสนอไอเดียการเลือกของขวัญที่ดีต่อสุขภาพ แต่จะเป็นด้านไหนมาลองดูกันค่ะ
1. ของขวัญที่ดีต่อ สมอง
ของขวัญที่ดีและมีประโยชน์ต่อสมอง ก็คือ ความรู้หรือทักษะใหม่ๆ  การให้ของขวัญเป็นพวกหนังสือต่างๆ หรือ เกมส์เสริมความรู้ หรือคอร์สเรียนเสริม จะช่วยกระตุ้นสมองให้เกิดความคิด ความรู้ และสร้างสรรค์   เพื่อให้ทันกับโลกยุดปัจจุบันด 4.0  ดังนั้นทุกอย่างจะรวดเร็ว การพัฒนาตนเองให้ทันต่อโลกจึงเป็นสิ่งจำเป็นนะคะ
2. ของขวัญที่ดี ต่อ ร่างกาย
ของขวัญสำหรับร่างกาย ก็คงไม่พ้นเรื่องเครื่องประทินผิวต่างๆ ที่ผลิตด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ  รวมถึงอุปกรณ์กีฬา ที่จะส่งเสริมให้ร่างกาย ดู ฟิตแอนด์เฟริ์ม ดูดีจากภายนอก
3. ของขวัญที่ดี ต่อ ใจ
หลังจากที่ดูดีจากภายนอกแล้ว ของขวัญที่ดีสำหรับภายใน  คือการ ‘ให้โอกาส’ กับตัวเอง ทำในสิ่งที่อยากทำ ซึ่งอาจทำได้หลายอย่าง เช่น การไปท่องเที่ยวในที่ใหม่ๆ  ทานอาหารที่ชื่นชอบหรือเมนูใหม่  แม้แต่การเปิดโอกาสรับสิ่งใหม่ๆ เพื่อนใหม่  เทคโนโลยีใหม่  บางคนอาจจะเลือกการฟังธรรม เพื่อจรรโลงจิตใจก็ได้ค่ะ
4. ของขวัญที่ดี ต่อ สิ่งแวดล้อม
ของขวัญชิคๆ สุดฮิตในขณะนี้  คือ กระเป๋ารักโลก หรือถุงผ้าแบบ  DIY  รวมถึงการให้ หรือการร่วมโครงการปลูกต้นไม้  การให้ของขวัญที่ดี ต่อสิ่งแวดล้อม ถือเป็นการให้ที่สามารถมอบให้กับคนจำนวนมาก ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เป็นของขวัญที่ยิ่งใหญ่
5. ของขวัญที่ดี ต่อ สุขภาพ
ของขวัญชิ้นนี้ คือ การรักษาสุขภาพ เช่น กินอาหารที่มีประโยชน์  ผักผลไม้ที่เป็นออร์แกนิค หรือออกกำลังกาย  รวมถึงการตรวจสุขภาพ  ตามปกติแล้วเราทุกคนควรได้รับการตรวจสุขภาพทุกปี เพื่อคัดกรองโรคในผู้ที่ยังไม่มีอาการ และให้เจอโรคในระยะแรกเริ่มต้น  ซึ่งจะทำให้ผลการรักษามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
เป็นอย่างไรกันบ้าง คิดออกหรือยังคะว่าเลือกชนิดไหน แต่ของขวัญเหล่านี้ที่จริงแล้ว เราควรให้กับตัวเองให้ครบทุกชิ้น เพราะแต่ละชิ้นนั้นสร้างคุณค่าต่างๆ กัน ซึ่งอาจจะไม่ต้องเป็นให้ตามเทศกาลเสมอไป แต่เราควรให้กันทุกวันค่ะ โดยเฉพาะของขวัญเพื่อสุขภาพชนิดสุดท้ายที่ควรมอบให้กันทุกๆ ปี เพราะในแต่ละปีเราต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ ที่อยูรอบๆ ตัวและอายุที่มากขึ้นทำให้ระบบต่างๆ ในร่างกายมีการเปลี่ยนแปลง รวมถึงพฤติกรรมการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนไป ดูแล ป้องกันตั้งแต่วันนี้นะคะ

โปรแกรมและแพ็คเกจ

รู้ไว้ใช่ว่า : ลูกพูดช้าแบบไหนควรไปหาหมอ

รู้ไว้ใช่ว่า : ลูกพูดช้าแบบไหนควรไปหาหมอ

Child's delayed language or speech development
ลูกเป็นแก้วตาดวงใจของพ่อแม่ พัฒนาการของลูกเป็นสิ่งที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ตั้งหน้าตั้งตารอคอย เวลาลูกเรียกหาเราคงจะยิ้มหน้าบานไม่หุบเลย แต่ เอ๊ะ! ทำไมลูกเรายังไม่เรียก “พ่อ” “แม่” ซักที อย่างนี้ผิดปกติรึเปล่านะ? เราไปหาคำตอบกันค่ะว่าลูกพูดช้าแบบไหนต้องรีบใส่ใจพามาหาหมอ
ลูกพูดช้าแบบไหนควรไปหาหมอ ?
ช่วงอายุ
ข้อควรสังเกต
แรกเกิด – 4 เดือน
ไม่ตอบสนองต่อเสียงในช่วงที่เด็กกำลังตื่นดี
อายุ 5 - 7 เดือน
ส่งเสียงน้อย หรือไม่ส่งเสียงอ้อแอ้โต้ตอบกับผู้เลี้ยงดู
อายุ 8 - 12 เดือน
ไม่หันหาเสียง ไม่ทำเลียนเสียงพยัญชนะอื่นนอกจาก “อ”
อายุ 15 เดือน
ไม่พูดคำที่มีความหมายอย่างน้อย 1 คำ
อายุ 18 เดือน
ไม่เข้าใจหรือทำตามคำสั่งอย่างง่าย ไม่พูดคำที่มีความหมาย 3 คำ
อายุ 2 ปี
ไม่พูดคำที่มีความหมายต่างกัน 2 คำต่อเนื่องกัน พูดคำศัพท์ได้รวมน้อยกว่า 50 คำ
อายุ 2 ปีครึ่ง
ไม่พูดเป็นวลียาว 3-4 คำ ยังทำเสียงไม่เป็นภาษา
อายุ 3 ปี
ไม่พูดเป็นประโยคสมบูรณ์ คนอื่นฟังภาษาที่เด็กพูดส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ
อายุ 4 ปี
เล่าเรื่องสั้นๆไม่ได้ คนอื่นยังฟังภาษาที่เด็กพูดได้ไม่เข้าใจเกินร้อยละ 25
ถ้าลูกรักเข้าข่ายเฝ้าระวังข้างต้นแล้วละก็ อย่ารอช้ารีบพามาพบกุมารแพทย์เพื่อได้รับการตรวจพัฒนาการ ตรวจการได้ยิน และกระตุ้นพัฒนาการได้อย่างทันท่วงทีนะคะ
นอกจากนี้คุณพ่อคุณแม่ยังสามารถติดตามดูพัฒนาการทางภาษาและพัฒนาการด้านอื่นๆของลูกด้วยตัวเองได้จากหนังสือคู่มือเฝ้าระวังและส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย (DSPM) ที่ได้รับแจกจากโรงพยาบาล หรือสามารถดาวน์โหลดได้ที่ QR codeนี้เลยค่ะ

โปรแกรมและแพ็คเกจ

โปรแกรมตรวจสุขภาพสำหรับเด็ก

โปรแกรมตรวจสุขภาพสำห […]

วัคซีนปัองกันโรคมือ เท้า ปาก (EV71)

วัคซีนป้องกันโรคมือเ […]

e-Light ฟื้นฟูผิวให้อ่อนเยาว์และยกกระชับใบหน้า

ฟื้นฟูผิวให้อ่อนเยาว์ ยกกระชับใบหน้าและลำคอ ด้วย e-Light

e-Light (Intense Pulse Light combine Radio Frequency)
e-Light เป็นการรักษาผิวพรรณโดยผ่านเทคโนโลยี 2 ชนิด ผสานการทำงานร่วมกัน คือ พลังงานแสง (IPL) และคลื่นวิทยุที่เหนี่ยวนำประจุไฟฟ้า (RF) พร้อมกับ Cooling การปรับอุณหภูมิให้ผิวผ่อนคลาย ให้ทำงานพร้อมๆกัน เพื่อปรับสภาพ ฟื้นฟูผิวพรรณคืนความสดใสอ่อนเยาว์ จากการทำร้ายของแสงแดดและเวลา ทำให้การรักษามีความอ่อนโยน ปลอดภัยต่อผิว ใช้เวลาในการรักษาน้อย (15 นาที) เห็นผลเร็ว สามารถสังเกตเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้หลังการรักษา

ประสิทธิภาพในการทำงาน

1.ฟื้นฟูผิวให้อ่อนเยาว์ (Rejuvenation)
  • แก้ปัญหาริ้วรอยบนใบหน้า ที่เกิดจากความผิดปกติ เช่น รอยแดง(Erythema) ,รอยแดงจากสิว(Rosacea) ,มีเส้นเลือดฝอยผิดปกติ(Telangiectasia)
  • ปรับสีผิวให้เรียบเนียนสม่ำเสมอ สีผิวไม่เรียบ(Poikiloderma)
  • ลบเลือนจุดด่างดำ เช่น มีเม็ดสีคล้ำ(Hyperpigmentation) ,สีผิวไม่สม่ำเสมอ(Dyschromia) ,ผิวตกกระ จากแสงแดด(Lentigines) นอกจากนี้ยังช่วยให้ฝ้าจางลง
  • กระชับรูขุมขน และเพิ่มความยืดหยุ่น ลดริ้วรอย
  • คืนความอ่อนเยาว์ให้กับผิว
2.ยกกระชับใบหน้าและลำคอ (Skin Tightening)
ST Applicator เป็นการนำพลังงานบริสุทธิ์ที่ใช้นั้นคือ การรวมเอาพลังงานอินฟราเรด (IR) และ RF มาผสานเป็นหนึ่งเดียว เพื่อประโยชน์ คือ
  • ยกกระชับใบหน้าและลำคอ(Skin Tightening)
  • สามารถยกกระชับ ร่องแก้ม ถุงใต้ตา คอ หางตา หน้าผาก มือ หน้าท้องลาย
  • สามารถใช้ได้ดีในทุกสีสภาพผิวคนไข้(all skin type)
ข้อดีของ e-Light จากการผสานพลังงานเป็นหนึ่งเดียวในการทำงาน (ELŌS™ Technology)
  • ใช้เวลาในการรักษาน้อย เพราะทำงานไปพร้อมกันทั้ง IPL และ RF
  • ปลอดภัย ลดอาการข้างเคียง (burn) ที่เกิดจาการทำ IPL หรือ RF อย่างเดี่ยวๆ เหมาะสำหรับผิวคนเอเชีย
  • ให้ผลการรักษาที่ดีกว่า การใช้พลังงานเดี่ยวๆ
  • สะดวก ในการรักษาทั้งหมอและคนไข้
ขั้นตอนการทำสะดวกมาก เพียงแค่
  1. ล้างหน้าให้สะอาดหมดจด ปราศจากเครื่องสำอาง
  2. เคลือบผิวด้วย Water Base Gel
  3. ยิงแสงของ e-Light ลงบนผิวหน้า
ขณะรักษาจะได้ความรู้สึกเหมือนถูกดีดเบาๆที่ผิว เมื่อทำเสร็จอาจจะรู้สึกอุ่นๆที่ผิวเล็กน้อย ผิวอาจมีสีชมพู หรือแดงขึ้นนิดหน่อย ถ้าบริเวณที่มีกระหรือจุดด่างดำ สีจะเข้มขึ้น และจะกลายเป็นสะเก็ดบางๆในวันรุ่งขึ้น และลอกออกภายใน 1 สัปดาห์ หลังจากนั้นจุดด่างดำและกระจะจางลงหรือหายไป และไม่ก่อให้เกิดรอยแผลทิ้งไว้เหมือน laser รุ่นเก่าๆ หลังจากทำเสร็จสามารถแต่งหน้าได้ตามปกติ เมื่อทำหลายๆครั้ง จุดด่างดำ กระ และความผิดปกติของสีผิวจะจางลง หน้าดูใสและเนียนขึ้น
ในระยะแรก แนะนำให้ทำติดต่อกันประมาณ 5 ครั้ง ห่างกันทุก 2-4 สัปดาห์
ข้อแนะนำและการดูแลหลังการรักษา
  • หลังการรักษาสามารถแต่งหน้า และปฏิบัติตัวได้ตามปกติ
  • หลีกเลี่ยงการโดนแดดจัด 2 อาทิตย์หลังทำ และควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงกว่า 30
  • ห้ามแกะสะเก็ดที่เกิดขึ้นหลังการรักษา ต้องปล่อยให้หลุดเอง บริเวณหน้า ประมาณ 1 อาทิตย์ ลำตัวประมาณ 2 อาทิตย์
  • หากมีการเข้มขึ้นของเม็ดสีบนผิวหน้า 2-3 วันแล้วไม่จางลง ไม่ต้องตกใจ ให้มารับการรักษาตามปกติ แล้วเม็ดสีที่เข้มขึ้นจะค่อยๆจางลงหรืออาจหายไป
หมายเหตุ
Skin impedence control เป็นระบบควบคุมความปลอดภัยให้กับผิวของคนไข้ เพื่อป้องกัน ความร้อนที่มากเกินไปจากการใช้พลังงานที่สูง โดยเครื่องจะมีระบบวัดและตัดพลังงานโดยอัตโนมัติ จากการตั้งค่า ISL ซึ่ง elōs™ Technology เป็นระบบเดียวที่ทำได้ จึงลดความเสี่ยงในเรื่อง burn อีกทั้งยังเป็นตัว feedback parameter ที่ใช้ ให้กับแพทย์อีกด้วย

โปรแกรมและแพ็คเกจ

มะเร็งเต้านม รู้ก่อน รักษาได้

มะเร็งเต้านม รู้ก่อน รักษาได้

Breast Cancer
มะเร็งเต้านมปัจจุบันพบมากเป็นอันดับหนึ่งในสตรีไทยการตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกๆ และได้รับการรักษาอย่างถูกต้องสามารถมีโอกาสหายขาดได้สูง มะเร็งเต้านมอาจมีอาการได้หลายแบบแตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละคน  ดังนั้นสตรีทั่วไปจึงควรหมั่นคอยสังเกตอาการและตรวจเต้านมตนเองเป็นประจำ เพื่อที่จะได้ตรวจพบมะเร็งเต้านมได้ตั้งแต่ระยะต้นๆ และได้รับการรักษาก่อนที่จะมีการลุกลามหรือกระจายไปยังอวัยวะอื่นแล้วมักมีผลการรักษาที่ไม่ดี
ผู้หญิงที่มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านม

  • ผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป
  • ผู้หญิงที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม
  • ผู้หญิงที่ไม่มีบุตรหรือมีบุตรคนแรกเมื่ออายุมากกว่า 30 ปี
  • ผู้หญิงที่ประจำเดือนมาเร็ว และหมดช้า หรือใช้ฮอร์โมนทดแทนเป็นเวลานานกว่า 10 ปี
  • ตรวจพบมะเร็งเต้านมได้ตั้งแต่ระยะต้นๆ และได้รับการรักษาก่อนที่จะมีการลุกลามหรือกระจายไปยังอวัยวะอื่น
    การรักษาอย่างถูกต้องสามารถมีโอกาสหายขาดได้สูง

อาการผิดปกติของเต้านมที่อาจเกิดจากมะเร็งเต้านม
  • เต้านมโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
    ขนาดของเต้านมที่โตขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะโตขึ้นข้างเดียว อาจเกิดจากการที่มีก้อนเนื้องอกหรือมะเร็งเต้านมที่โตขึ้นอย่างรวดเร็วในเต้านมข้างนั้น ทำให้เต้านมข้างนั้นมีขนาดโตมากกว่าอีกข้างหนึ่ง
  • รูปร่างของเต้านมเปลี่ยนไป
    รูปร่างของเต้านมเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมโดยไม่เคยได้รับการผ่าตัดมาก่อน อาจเกิดจากการที่เคยมีการอักเสบของเต้านมมาก่อนแล้วเกิดการดึงรั้ง เต้านมผิดรูป นอกจากนี้อาจเกิดจากก้อนมะเร็งที่เต้านมทำให้รูปร่างของเต้านมเปลี่ยนแปลงได้
  • มีก้อนที่เต้านม
    การคลำเจอก้อนที่เต้านมเป็นอาการที่พบบ่อยที่สุดของผู้ป่วยมะเร็งเต้านม ดังนั้นจึงแนะนำสตรีทั่วไปหมั่นตรวจเต้านมด้วยตัวเองเสมอ
  • มีรอยบุ๋มที่เต้านม
    การมีรอยบุ๋มที่ผิวหนังเต้านมในผู้ที่ไม่เคยได้รับการผ่าตัดที่เต้านมมาก่อน อาจเกิดจากมะเร็งเต้านมทำให้เกิดการดึงรั้งของเอ็นภายในเต้านมที่ยึดระหว่างผิวหนังกับทรวงอก เกิดเป็นรอยบุ๋มขึ้นที่ผิว
  • การเปลี่ยนแปลงของผิวหนังเต้านม
    การเปลี่ยนแปลงของผิวหนังบริเวณเต้านม เช่น อาการบวมแดง มีแผล อาจพบว่าเกิดจากการมีมะเร็งที่เต้านมลุกลามมาที่ผิวหนังทำให้เกิดการบวมแดงหรือบางครั้งอาจมีแผลร่วมด้วยและเป็นแผลที่รักษาไม่หาย  อาการบวมแดงของเต้านมยังอาจเป็นการแสดงของมะเร็งเต้านมชนิดลุกลามเฉพาะที่ซึ่งจะมีการบวมแดงของผิวหนังเต้านมเป็นบริเวณกว้างหรืออาจมีแผลร่วมด้วยก็ได้
  • มีแผลที่บริเวณหัวนม
    แผลที่เกิดที่บริเวณเต้านมหรือฐานหัวนมหรือฐานหัวนมนั้นอาจมีสาเหตุจากมะเร็งเต้านมชนิดหนึ่งเรียกว่า Paget disease of the nipple โดยจะเป็นแผลสีแดงที่บริเวณหัวนม
  • หัวนมบุ๋มเข้าไปในเต้านม
    การมีหัวนมที่บุ๋มเข้าไปในเต้านมโดยที่ไม่ได้เป็นมาตั้งแต่กำเนิดและไม่เคยได้รับการผ่าตัดที่เต้านมมาก่อน อาจมีสาเหตุมาจากมะเร็งเต้านมที่ลุกลามไปยังหัวนมและทำให้เกิดการดึงรั้งจนหัวนมบุ๋มลงไปได้ ซึ่งมักเกิดจากมะเร็งบริเวณใกล้กับหัวนม
  • การมีน้ำออกทางหัวนม
    อาการมีน้ำหรือน้ำนมออกทางหัวนมในผู้ที่ไม่ได้ให้นมบุตร อาจเป็นอาการหนึ่งของมะเร็งเต้านม ซึ่งมักสัมพันธ์กับความผิดปกติของท่อน้ำนมร่วมด้วย โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการเรื้อรังเป็นๆ หายๆ ลักษณะน้ำอาจเป็นสีเหลืองใสหรือเป็นน้ำปนเลือด
  • คลำพบก้อนที่บริเวณที่รักแร้
    นอกจากอาการที่เต้านมแล้ว ในบางครั้งมะเร็งเต้านมอาจตรวจไม่พบก้อนที่เต้านม แต่มีต่อมน้ำเหลืองโตที่รักแร้และคลำพบได้ ซึ่งเกิดจากมะเร็งเต้านมกระจายไป
  • อาการเจ็บเต้านม
    อาการเจ็บเต้านมในบางครั้งอาจสัมพันธ์หรือไม่สัมพันธ์กับรอบเดือน ในช่วงใกล้มีประจำเดือนหรืออาจเกิดจากการอักเสบติดเชื้อที่เต้านม แต่ในบางกรณีอาจพบว่าเป็นอาการของมะเร็งเต้านมและอาจพบก้อนที่เต้านมร่วมด้วย โดยมักเจ็บที่บริเวณก้อนที่พบ
ผู้ที่มีอาการต่างๆ ดังกล่าวข้างต้นอาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านม จึงแนะนำว่าควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อทำการตรวจหาสาเหตุและรับการรักษาที่เหมาะสม

โปรแกรมและแพ็คเกจ

โปรแกรมตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม

การผ่าฟันคุด

การผ่าฟันคุด

Impacted Tooth
ฟันคุด (Impacted Tooth) หมายถึง ฟันที่ไม่สามารถขึ้นมาในช่องปากได้ตามปกติ เนื่องจากกระดูกหรือเหงือกที่ปกคลุมหนามาก หรือ ถูกขัดขวางจากฟันข้างเคียง ฟันคุดที่พบได้บ่อย ได้แก่ ฟันเขี้ยวบน ฟันกรามน้อยล่างและฟันกรามใหญ่ซี่ที่สาม ซึ่งเป็นตำแหน่งที่พบฟันคุดได้บ่อยที่สุด เนื่องจากเป็นฟันที่จะโผล่ขึ้นในช่องปากเป็นลำดับสุดท้าย
เมื่อทันตแพทย์ตรวจและวินิจฉัยพบว่าผู้ป่วยมีฟันคุดควรรีบผ่าฟันคุดออก ทั้งนี้ก็เพราะว่า ขณะที่ผู้ป่วยยังมีอายุน้อย (16-21ปี) ร่างกายจะแข็งแรงไม่มีโรคทางระบบใดๆกระดูกที่ปกคลุมตัวฟันยังไม่แข็งมากนักจึงจะง่ายต่อการกรอกระดูกและตัดฟัน (ในรายที่จำเป็น) มีการซ่อมแซมบาดแผลได้ดีกระดูกสร้างตัวได้เร็วแผลผ่าตัดจึงหายได้เร็ว ภาวะแทรกซ้อนน้อยและผลเสียที่จะเกิดกับเนื้อเยื่อปริทันต์ของฟันกรามซี่ที่อยู่ข้างเคียงน้อย
เหตุใดจึงควรผ่าฟันคุด
  1. เพื่อป้องกันการอักเสบของเหงือกที่ปกคลุมฟัน
  2. เพื่อป้องกันฟันข้างเคียงผุ หรือเกิดโรคปริทันต์
  3. เพื่อป้องกันการเกิดถุงน้ำ และเนื้องอกบริเวณขากรรไกร
  4. เพื่อป้องกันการเกิดฟันซ้อนเกหลังการจัดฟัน
สิ่งที่ควรทราบก่อนการตัดสินใจผ่าฟันคุด
ในการผ่าฟันคุดทุกครั้งจำเป็นต้องมีภาพถ่ายรังสี เพื่อประเมินแนวการวางตัวของฟันและรากฟัน พยาธิสภาพและลักษณะของกระดูกที่รองรับฟัน รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างฟันและเนื้อเยื่อที่สำคัญข้างเคียง เช่น เส้นประสาท เส้นเลือด
ไซนัส ฟันข้างเคียง เป็นต้น
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้จากการผ่าตัด
  • เลือดออกผิดปกติ
  • การเกิดอันตรายต่อเส้นประสาทซึ่งจะส่งผลให้เกิดอาการชาบริเวณคาง/ริมฝีปาก/ลิ้น (1-6เดือน) ขึ้นกับความสัมพันธ์ของรากฟันและเส้นประสาทของแต่ละบุคคล
  • แผลอักเสบติดเชื้อ-บวม
  • อ้าปากได้น้อยกว่าปกติ
  • การเกิดการเชื่อมต่อของช่องปากและไซนัส
ข้อปฎิบัติหลังการผ่าตัดฟันคุด
  1. กัดผ้าก๊อซให้แน่นบริเวณที่ถูกผ่าตัด ประมาณ 1-2 ชม. ถ้ามีเลือดหรือน้ำลายซึมออกมาให้กลืน
  2. คายผ้าก๊อซออกหลังจากผ่าตัดไปแล้วอย่างน้อย 1ชม. หากยังพบเลือดซึมออกมาให้กัดผ้าก๊อซใหม่ต่ออีกครั้งละ ประมาณ ½ -1 ชม.
  3. หลีกเลี่ยงการบ้วนน้ำลาย บ้วนน้ำ ตลอดวัน ที่ผ่าตัด
  4. ไม่ดูดแผล และ ใช้ลิ้นดุนบริเวณแผล เพราะจะทำให้เลือดซึมออกมาได้อีกครั้ง
  5. รับประทานยาตามคำแนะนำของทันตแพทย์อย่างเคร่งครัด
  6. ช่วงสัปดาห์แรกหลังการผ่าตัด ควรรับประทานอาหารอ่อนหรือเหลว และหลีกเลี่ยงอาหารร้อนจัด/เย็นจัด
  7. มาตามนัดตัดไหมประมาณ 7-10 วัน หลังการผ่าตัด
  8. หากมีอาการผิดปกติใดๆ ควรกลับมาปรึกษาทันตแพทย์

โปรแกรมและแพ็คเกจ

จอประสาทตาหลุดลอก

จอประสาทตาหลุดลอก

Retinal Detachment
เป็นอาการที่รุนแรงและส่งผลต่อการมองเห็น โดยเกิดขึ้นเมื่อจอประสาทตาแยกออกจากเนื้อเยื่อที่ยึดอยู่ภายใต้จอประสาทตา เมื่อเนื้อเยื่อเหล่านี้แยกออกจากจอประสาทตา จะทำให้จอประสาทตาไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ และหากปล่อยไว้โดยไม่มีการรักษาก็จะส่งผลให้สูญเสียการมองเห็นในที่สุด
โรคจอประสาทตาหลุดลอกชนิดที่พบได้มากที่สุด เกิดขึ้นเมื่อมีรอยแยกในเนื้อเยื่อชั้นที่รับความรู้สึกของจอประสาทตา ทำให้ของเหลวไหลซึมออกมา ส่งผลให้ชั้นเนื้อเยื่อของจอประสาทตาหลุดออกจากกัน สำหรับผู้ที่มีสายตาสั้นมาก และเคยได้รับการผ่าตัดตา หรือเคยได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงที่ดวงตา มีความเสี่ยงสูงมากที่จะเป็นโรคจอประสาทตาหลุดลอก ผู้ที่มีสายตาสั้นมีโอกาสเป็นโรคจอประสาทตาหลุดลอกได้มากกว่า เนื่องจากผู้ที่มีสายตาสั้นจะมีความยาวของลูกตามากกว่าปกติ ทำให้จอประสาทตาบางและเปราะกว่าปกติ โรคจอประสาทตาหลุดลอกอีกชนิดหนึ่ง เกิดขึ้นเมื่อเส้นของวุ้นในตา หรือเนื้อเยื่อแผลเป็นทำให้เกิดการดึงรั้งบนจอประสาทตา ทำให้เกิดการหลุดลอก ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานมีโอกาสสูงที่จะเป็นโรคจอประสาทตาชนิดนี้ได้
อาการของโรคจอประสาทตาหลุดลอก
  1. มองเห็นแสงฟ้าแล่บคล้ายไฟแฟลชกล้องถ่ายรูป
  2. มีสิ่งบดบังในการมองเห็น
  3. มองเห็นเหมือนมีอะไรลอยไปมา มีลักษณะเป็นจุดหรือใยแมงมุม
  4. การมองเห็นเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว
การตรวจพบในระยะเริ่มต้น เป็นวิธีการรักษาการหลุดลอก และการฉีกขาดของจอประสาทตาได้ดีที่สุด การทราบถึงคุณภาพของการมองเห็นของท่านเองเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุด โดยเฉพาะหากท่านอยู่ในกลุ่มที่มีโอกาสเสี่ยงสูง เช่น มีสายตาสั้น หรือเป็นโรคเบาหวาน หากท่านสังเกตพบอาการเหล่านี้ ควรไปพบจักษุแพทย์โดยทันที

โปรแกรมและแพ็คเกจ

Promotion ชุดตรวจสุขภาพ ลด 20%

ท่อระบายน้ำตาอุดตันหรือน้ำตาไหล

ท่อระบายน้ำตาอุดตันหรือน้ำตาไหล

ปกติแล้วน้ำตาจะถูกสร้างมาจากต่อมน้ำตาหลักที่อยู่ในเบ้าตาด้านบน และต่อมน้ำตาย่อยที่กระจายอยู่บริเวณเยื่อตาขาว น้ำตามีประโยชน์ต่อดวงตาเป็นอย่างมาก โดยในภาวะปกติดวงตาของเราจะมีน้ำตามาเคลือบไว้อยู่ระดับหนึ่งตลอดเวลาอยู่แล้ว ไว้คอยให้ความชุ่มชื้นต่อดวงตา หล่อลื่นเวลากระพริบตา และช่วยให้การหักเหของแสงเป็นไปอย่างราบรื่นแม่นยำ ทำให้เรามองเห็นภาพชัดเจนตลอดเวลา
น้ำตาที่ถูกสร้างออกมานี้จะถูกระบายออกไปทางท่อน้ำตาที่อยู่บริเวณหัวตา ซึ่งท่อระบายนี้จะไปเปิดในโพรงจมูกข้างเดียวกัน จะเห็นได้ว่าในภาวะที่มีการสร้างน้ำตามากเช่นเวลาเราร้องไห้ จะมีน้ำมูกไหลลงคอด้วย ซึ่งความจริงเป็นน้ำตาที่ถูกระบายผ่านทางท่อน้ำตาเข้าสู่โพรงจมูกนั่นเอง
นอกจากความโศกเศร้าเสียใจที่ทำให้เราต้องเสียน้ำตาแล้ว ยังมีสาเหตุอื่นที่ทำให้เรามีปัญหาเกี่ยวกับน้ำตาเอ่อ น้ำตาคลอ น้ำตาไหล จนเป็นที่น่ารำคาญและเสียบุคลิกภาพในการใช้ชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก
โดยสาเหตุหลักจะจะแบ่งได้เป็นสองกลุ่มใหญ่ๆคือ
1.น้ำตาถูกสร้างออกมามากกว่าปกติ
คือภาวะที่มีการกระตุ้นเส้นประสาทรับรู้ความรู้สึกบริเวณดวงตาหรือรอบๆดวงตา หรือภาวะที่ทำให้มีการระคายเคืองต่อดวงตา เช่น ผงฝุ่นละอองเข้าตา ต้อลม ต้อเนื้อ ขนตาเก หรืออยู่ในที่ที่มีสภาวะอากาศแห้ง ลมแรง ก็ทำให้กระตุ้นให้มีการหลั่งน้ำตาออกมามากกว่าปกติได้
2.น้ำตาถูกระบายออกไม่ได้
คือภาวะที่มีการตีบตันของท่อระบายน้ำตา เป็นได้ตั้งแต่รูเปิดของท่อน้ำตาบริเวณหัวตาไปจนถึงท่อน้ำตาที่อยู่ในโพรงจมูก สาเหตุของการตีบหรืออุดตันของทางเดินน้ำตาอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น การติดเชื้อของทางระบายน้ำตา การใช้ยาหยอดบางอย่างเป็นระยะเวลานาน อายุที่มากขึ้น หรืออาจจะเกิดขึ้นเองโดยไม่ทราบสาเหตุ การที่ท่อทางเดินระบายน้ำตาอุดตัน เหมือนกับท่อระบายน้ำอุดตัน ทำให้น้ำขังในบ้าน ถ้ามีขยะของเสียก็จะส่งกลิ่นเหม็นฟุ้งเต็มบ้าน ดวงตาเราก็เหมือนกัน เมื่อท่อน้ำตาอุดตัน อาจจะทำให้มีการติดเชื้อที่จะทำให้เกิดเยื่อตาอักเสบหรือถุงน้ำตาอักเสบเป็นภาวะแทรกซ้อนขึ้นมาได้
การรักษา
จักษุแพทย์ก็จะทำการตรวจสุขภาพของดวงตาว่ามีระดับน้ำตามากผิดปกติจริงหรือไม่ ถ้ามีมากกว่าปกติจริง ก็จะทำการตรวจหาสาเหตุว่ามีอะไรกระตุ้นเส้นประสาทรับความรู้สึกที่จะทำให้มีการหลั่งน้ำตาออกมามาก ถ้ามีสาเหตุเหล่านี้ก็รักษาไปตามต้นเหตุ เช่นมีเศษฝุ่นผงหรือขนตาติดอยู่ในเยื่อตา ก็จัดการเอาออก หรือพบว่าเป็นต้อลมต้อเนื้อ รักษาโดยยาหยอดตาและแนะนำให้หลีกเลี่ยงฝุ่น ลม แสงแดดเป็นต้น
แต่ถ้าไม่พบสาเหตุใดๆที่จะกระตุ้นให้มีการสร้างน้ำตาออกมามากกว่าปกติ จักษุแพทย์ก็จะทำการตรวจดูระบบการระบายน้ำตาว่าสามารถระบายน้ำตาออกสู่โพรงจมูกได้ตามปกติหรือไม่ เช่นการล้างท่อน้ำตา(irrigation)และการแยงท่อน้ำตา(probing)ดูว่าระบายน้ำเกลือที่ฉีดเข้าไปในทางเดินน้ำตาลงไปยังโพรงจมูกได้ปกติดีหรือไม่ เมื่อพบว่ามีการอุดตันตำแหน่งไหนในระบบทางระบายน้ำตา ก็ทำการผ่าตัดรักษาไปตามตำแหน่งที่อุดตันนั้นๆต่อไป

โปรแกรมและแพ็คเกจ

คลายข้อสงสัย “วัคซีนมะเร็งปากมดลูก”

คลายข้อสงสัย "วัคซีนมะเร็งปากมดลูก"

ถาม HPV คืออะไร และติดต่อได้อย่างไร
ตอบ HPV (Human papillomavirus) เป็นไวรัสตระกูลหนึ่งซึ่งมีหลายสายพันธุ์ โดยมีสายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดมะเร็งปากมดลูก มะเร็งที่อวัยวะเพศ ช่องคลอด ทวารหนัก และมะเร็งบริเวณหลอดอาหาร นอกจากนี้ยังมีสายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดหูดหงอนไก่ได้ ผู้หญิงและผู้ชายจะติดเชื้อ HPV ชนิดที่ก่อให้เกิดมะเร็งปากมดลูกผ่านทางการมีเพศสัมพันธ์ โดยผู้หญิงส่วนใหญ่จะเคยได้รับเชื้อ HPV ในช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิต
ถาม การป้องกันตนเองจากมะเร็งปากมดลูก
ตอบ ผู้หญิงควรตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่อายุ 21 ปี ซึ่งการตรวจจะทำให้สามารถพบปัญหาที่สัมพันธ์กับการติดเชื้อ HPV ก่อนที่จะเกิดรอยโรคระยะก่อนมะเร็งได้
การติดเชื้อ HPV เป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดมะเร็งปากมดลูกได้ 90% หนทางเดียวที่จะสามารถป้องกันจากการติดเชื้อ HPV ได้อย่างแน่นอนคือ การงดมีเพศสัมพันธ์ตลอดชีวิต
นอกจากนี้ ปัจจุบันยังมีวัคซีนมะเร็งปากมดลูก (หรือที่เรียกว่า Human Papillomavirus หรือ HPV วัคซีน) เป็นวัคซีนป้องกันไวรัส HPV ที่เป็นสาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูก
ถาม วัคซีนมะเร็งปากมดลูกคืออะไร
ตอบ วัคซีนมะเร็งปากมดลูกหรือวัคซีน HPV เป็นวัคซีนที่ช่วยป้องกันมะเร็งปากมดลูก ผลิตจากโปรตีนที่เปลือกหุ้มเชื้อไวรัส ปัจจุบันมีอยู่ 3 ชนิด คือ

  • ชนิด 2 สายพันธุ์ (สายพันธุ์ที่ 16 และ 18) มีชื่อการค้าว่า Cervarix ป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้ประมาณ 70%
  • ชนิด 4 สายพันธุ์ (สายพันธุ์ที่ 6, 11, 16 และ 18) มีชื่อการค้าว่า Gardasil ป้องกันมะเร็งปากมดลูก และหูดที่อวัยวะเพศ
  • ชนิด 9 สายพันธุ์ (สายพันธุ์ที่ 6, 11, 16, 18, 31, 33, 45, 52 และ 58) มีชื่อการค้าว่า Gardasil 9 โดยสามารถป้องกันมะเร็งปากมดลูกและหูดได้ประมาณ 90% รวมทั้งป้องกันมะเร็งทวารหนักได้ประมาณ 80%
ถาม วัคซีน HPV ต้องฉีดกี่เข็ม ป้องกันได้นานเท่าใด
ตอบ วัคซีนจะฉีดเข้าที่กล้ามเนื้อต้นแขนหรือกล้ามเนื้อสะโพก โดยต้องฉีดทั้งหมด 3 เข็มกรณี อายุ

  • สำหรับเด็กอายุ 9 -<15 ปี ฉีด 2 เข็มคือ ที่ 0 เดือนและ 6 เดือน
  • สำหรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 15-26 ปี ฉีด 3 เข็มคือ ที่ 0 เดือน 2 เดือนและ 6 เดือน
  • ทั้งนี้วัคซีนจะมีความสามารถในการป้องกันการติดเชื้อหลังฉีดครบ 3 เข็มไปแล้ว 1 เดือน อย่างไรก็ตามปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่า วัคซีนจะช่วยป้องกันโรคได้นานแค่ไหน แต่จากการศึกษาพบว่าระดับภูมิคุ้มกันยังคงสูงต่อเนื่องหลายปีจึงยังไม่ต้องฉีดกระตุ้นซ้ำ
    สำหรับการให้วัคซีน HPV แบบ 2 เข็ม ข้อมูลในปัจจุบันพบว่า น่าจะเพียงพอในผู้หญิงที่อายุยังน้อย โดยแนะนำให้ใช้ในผู้หญิงอายุ 9-15 ปีเท่านั้น โดยสาหรับบุคคลที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำยังคงต้องได้รับวัคซีน 3 เข็ม

    ถาม ใครควรจะฉีดวัคซีนมะเร็งปากมดลูกบ้าง
    ตอบ ในทางอุดมคติ ควรเริ่มให้วัคซีนตั้งแต่ก่อนมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก อย่างไรก็ตามในผู้หญิงที่เคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อนการได้รับวัคซีนก็ยังพบว่ามีประโยชน์ ตามแนวทางปฏิบัติแล้วคือ

    • แนะนำให้ฉีดในเด็กหญิงอายุ 11-12 ปีทุกราย หรือสามารถเริ่มให้วัคซีนได้ตั้งแต่อายุ 9 ปีขึ้นไป
    • การให้วัคซีนแนะนำในเด็กหญิงและผู้หญิงอายุ 13-45 ปีที่ไม่เคยฉีดวัคซีนมาก่อน โดยจากการศึกษาในกลุ่มผู้หญิงอายุ 9-45 ปีพบว่าวัคซีนสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ในระดับสูง

    สำหรับผู้ที่เคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อน ควรมีการคุยระหว่างแพทย์และผู้รับบริการถึงความเสี่ยงที่ผู้รับบริการอาจเคยได้รับเชื้อ HPV มาก่อนและประโยชน์ที่จะได้รับจากวัคซีน ผู้รับวัคซีนต้องทำความเข้าใจว่า วัคซีนไม่สามารถกาจัดเชื้อไวรัส HPV ในกรณีที่มีการติดเชื้อเรื้อรังมาก่อนฉีดได้ นอกจากนี้ในปัจจุบันพบว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องตรวจหาเชื้อ HPV ก่อนการฉีดวัคซีน สำหรับประเทศไทย สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้ดำเนินโครงการฉีดวัคซีน HPV ฟรีให้กับนักเรียนหญิงชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ซึ่งเป็นวัยเหมาะสมที่สุดในการรับวัคซีนนี้แล้ว โดยเริ่มต้นในเดือนกรกฎาคม 2560

    ถาม ทำไมวัคซีนมะเร็งปากมดลูกจึงแนะนำให้ใช้ในเด็ก
    ตอบ เนื่องจากวัคซีนจะมีประสิทธิภาพสูงสุดในเด็กหรือผู้หญิงที่ไม่เคยได้รับการติดเชื้อ HPV สายพันธุ์ที่วัคซีนครอบคลุมมาก่อน ดังนั้นเด็กหญิงและผู้หญิงที่ไม่เคยติดเชื้อเหล่านี้ก็จะได้ประโยชน์เต็มที่จากการฉีดวัคซีน
    ถาม กลุ่มที่ไม่ควรรับวัคซีน
    ตอบ ไม่ควรฉีดวัคซีนหากยังมีอาการเจ็บป่วยหรือมีประวัติแพ้ยีสต์หรือตั้งครรภ์อยู่
    ถาม ผู้หญิงที่เคยมีเพศสัมพันธ์แล้วจะได้ประโยชน์จากวัคซีนหรือไม่
    ตอบ ผู้หญิงที่เคยมีเพศสัมพันธ์แล้วก็ยังคงได้รับประโยชน์จากการฉีดวัคซีนอยู่ แต่อาจจะน้อยกว่า เนื่องจากผู้หญิงเหล่านี้อาจจะเคยได้รับเชื้อ HPV บางสายพันธุ์มาแล้ว
    Gardasil และ Cervarix จะป้องกัน HPV จำเพาะบางสายพันธุ์แต่ก็ต่อเมื่อผู้ป่วยไม่เคยสัมผัสกับสายพันธุ์เหล่านี้มาก่อน ถ้าหากยิ่งมีจำนวนคู่นอนมากเท่าไหร่โอกาสในการติดเชื้อ HPV หลายสายพันธุ์ก็ยิ่งมีมากขึ้น ผู้เชี่ยวชาญบางคนได้แนะนำให้ผู้หญิงอายุ 18-45 ปีบอกถึงประวัติเพศสัมพันธ์กับแพทย์เพื่อดูว่าประเมินถึงประโยชน์ที่จะได้จากวัคซีน
    ถาม วัคซีนมีความปลอดภัยหรือไม่
    ตอบ มีการศึกษาว่าวัคซีนมีความปลอดภัยค่อนข้างมาก ไม่พบว่ามีไวรัสที่มีชีวิตเหลืออยู่ในวัคซีน ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยหลังฉีดยาคือ มีแดงและเจ็บบริเวณที่ฉีดยา อาการปวดหัว (คล้ายกับจะเป็นไข้หวัด) ก็พบได้บ่อย อาจพบมีไข้ได้ อาการปวดและมีไข้สามารถบรรเทาโดยการให้ยาได้ แต่ก็คล้ายคลึงกับยาทั่วไปก็คือยังคงต้องเฝ้าระวังความปลอดภัยในการใช้วัคซีนต่อไป
    ถาม มีวัคซีนสาหรับเด็กชายหรือผู้ชายหรือไม่
    ตอบ ขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างการศึกษา แต่ผู้ชายก็สามารถฉีดวัคซีน HPV ได้ เพราะแม้จะไม่มีโอกาสเป็นมะเร็งปากมดลูก แต่หากไปมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงที่มีเชื้อ HPV แล้วได้รับเชื้อมา ก็สามารถแพร่เชื้อต่อไปยังคู่นอนคนอื่นได้เช่นกัน ซึ่งในต่างประเทศมีการรณรงค์ให้ฉีดวัคซีนป้องกัน HPV ทั้งในเพศหญิงและเพศชายบ้างแล้ว เช่น องค์กรควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา ได้แนะนำให้เด็กชายอายุ 11-12 ปี ฉีดวัคซีน HPV ชนิด 9 สายพันธุ์ เพื่อป้องกันโรคหูดหงอนไก่และมะเร็งทวารหนัก
    ถาม หลังฉีดวัคซีนแล้วจะมีเพศสัมพันธ์ได้เลยไหม
    ตอบ สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ตามปกติ แต่ควรคุมกาเนิดด้วยวิธีที่มีประสิทธิภาพ เช่น การใส่ถุงยางอนามัย จนกระทั่งฉีดครบ 3 เข็มไปแล้วอย่างน้อย 1 เดือน เพราะความสามารถในการป้องกันการติดเชื้อจะเกิดขึ้นภายใน 1 เดือน หลังฉีดวัคซีนครบ 3 เข็ม
    ถาม หลังฉีดวัคซีนแล้วจำเป็นต้องตรวจหามะเร็งปากมดลูก (PAP smear) อีกหรือไม่
    ตอบ ปัจจุบันยังคงแนะนำให้ปฏิบัติตามแนวทางตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกตามปกติ
    ถาม การป้องกันมะเร็งปากมดลูกด้วยวิธีต่างๆ
    ตอบ HPV แพร่กระจายผ่านการติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การป้องกันตนเองจากการติดเชื้อ HPV ทำได้โดยการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ นอกจากนี้ควรจำกัดจานวนคู่นอน การไม่สูบบุหรี่ก็จะช่วยได้เนื่องจากการสูบบุหรี่จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปากมดลูกถึงสองเท่า
    ในการค้นหารอยโรคก่อนการเป็นมะเร็ง หรือมะเร็งปากมดลูกระยะเริ่มต้น ผู้หญิงควรตรวจภายในประจำปีและตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก นอกจากนี้ควรไปพบแพทย์ทันทีที่มีอาการผิดปกติที่อาจเป็นมะเร็งปากมดลูกได้ เช่น มีเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์ ช่วงใกล้วัยหมดประจำเดือนหรือหลังหมดประจำเดือนไปแล้ว มีตกขาวกลิ่นเหม็นหรือมีเลือดปน ปวดท้องน้อย หรือ เจ็บระหว่างมีเพศสัมพันธ์
    ถาม ถุงยางอนามัยกับการแพร่เชื้อ HPV
    ตอบ การศึกษาปัจจุบันพบว่าการใช้ถุงยางอนามัยเป็นประจำจะช่วยลดการติดเชื้อ HPV อย่างไรก็ดีเนื่องจากถุงยางอนามัยไม่สามารถปกปิดบริเวณที่เป็นจุดแพร่กระจายของ HPV ได้ทั้งหมด มันจึงไม่อาจให้การป้องกันได้เต็มที่ ดังนั้นการใช้ถุงยางอนามัย ในบางครั้งอาจจะไม่สามารถป้องกัน HPV ได้ ควรตระหนักว่าในการป้องกันการติดเชื้อ HPV นั้นควรจะใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะมั่นใจในความสัมพันธ์ ถุงยางอนามัยจะลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ HIV และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ เมื่อใช้ทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์และใช้อย่างถูกวิธี
    ถาม จะรู้ได้อย่างไรว่ามีการติดเชื้อ HPV
    ตอบ ในคนที่ติดเชื้อ HPV ส่วนใหญ่มักไม่มีอาการผิดปกติ หนทางเดียวที่จะทราบได้ว่าคุณมีเชื้อ HPV ก็คือทดสอบหาไวรัสโดยตรงจากการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก หรือใช้อุปกรณ์สำหรับตรวจด้วยตนเองที่บ้าน การติดเชื้อ HPV ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ปากมดลูกไปเป็นรอยโรคก่อนการเป็นมะเร็งหรือมะเร็งปากมดลูก เชื้อ HPV อาจจะปรากฏในช่วงเวลาเป็นสัปดาห์ เดือน หรือปีหลังจากได้รับเชื้อครั้งแรก ซึ่งก็คือความสำคัญว่าทาไมจึงจำเป็นต้องตรวจอย่างสม่ำเสมอ
    ถาม HPV สามารถรักษาได้หรือไม่
    ตอบ ในปัจจุบันไม่มีการรักษาสำหรับไวรัส แต่มีการรักษาสำหรับการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ปากมดลูกที่เกิดจาก HPV
    สรุป
    คุณผู้หญิงควรตรวจภายในประจาปีและตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่อายุ 21 ปี ซึ่งการตรวจจะทำให้สามารถพบปัญหาก่อนที่จะเกิดโรคในระยะก่อนมะเร็งได้ การติดเชื้อ HPV เป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดมะเร็งปากมดลูกได้ 90% นอกจากนี้ควรไปพบแพทย์ทันทีที่มีอาการผิดปกติ เช่น มีเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์ ช่วงใกล้วัยหมดประจำเดือนหรือหลังหมดประจำเดือนไปแล้ว มีตกขาวกลิ่นเหม็นหรือมีเลือดปน ปวดท้องน้อย หรือ เจ็บระหว่างมีเพศสัมพันธ์ เป็นต้น

    โปรแกรมและแพ็คเกจ

    วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก (HPV)