ผื่นลมพิษ

ผื่นลมพิษ

Urticaria
ผื่นลมพิษคืออะไร
ผื่นลมพิษเป็นผื่นที่มีลักษณะบวมนูน และ/หรือแดงที่มักมีอาการคัน ผื่นมักหายภายใน 24 ชั่วโมง และไม่ทิ้งรอย ในบางคนอาจมีปากบวม หรือตาบวมร่วมด้วยได้ ผื่นลมพิษที่มีอาการมาไม่เกิน 6 สัปดาห์ จัดเป็นลมพิษแบบเฉียบพลัน และผื่นลมพิษที่มีอาการนานตั้งแต่ 6 สัปดาห์ขึ้นไป จัดเป็นผื่นลมพิษเรื้อรัง
สาเหตุของผื่นลมพิษ
ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยที่เป็นลมพิษมักเกิดขึ้นเองโดยไม่มีสาเหตุ ส่วนหนึ่งเกิดจากปัจจัยทางกายภาพที่กระตุ้น เช่น ความเย็น ความร้อน แสงอาทิตย์ น้ำ หรือการสั่นสะเทือนเป็นต้น ส่วนที่เหลือของลมพิษในผู้ป่วยอาจเกิดจากการติดเชื้อ การแพ้ยาหรือแพ้อาหาร หรือโรคทางระบบภายในต่างๆ
การรักษา
  • การรักษาเบื้องต้นด้วยยาแก้แพ้ทั้งในผู้ที่มีปัจจัยกระตุ้น และไม่มีปัจจัยกระตุ้น
  • หากผื่นลมพิษมีปัจจัยกระตุ้น ควรหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นนั้นๆ
คำแนะนำ
  • ในผู้ป่วยบางรายอาจมีการบวมของเยื่อบุอวัยวะภายในร่วมกับผื่นคัน อันเกิดจากอาการแพ้อย่างรุนแรง เช่น มีผื่นร่วมกับอาการเหนื่อย/หายใจลำบาก แน่นหน้าอก คลื่นไส้อาเจียน หรือหน้ามืด/เวียนศีรษะ ควรรีบไปพบแพทย์
  • หากรับประทานยาแก้แพ้แล้วไม่ดีขึ้น ควรพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้องและหาสาเหตุของผื่นเพิ่มเติม

โปรแกรมและแพ็คเกจ

Infusion กระชับผิวหน้าและผิวกาย

Infusion กระชับผิวหน้าและผิวกาย วิตามินแทรกซึมสู่ใต้ผิวหนังชั้นใน

Infusion  (Revealing healthy and youthful skin)
Infusion เป็นการผลักวิตามินเข้าสู่ชั้นผิวหนัง โดยการใช้กระแสไฟฟ้า (IONWAVE) ซึ่งมีความถี่และระยะเวลาของการปล่อยกระแสไฟฟ้า ที่เหมาะสมทำให้เกิดการจัดเรียงตัวใหม่เป็นช่องว่างเล็กๆ (Micro channel) ขึ้นที่ผนังเซลล์ เพื่อรับวิตามินที่ต้องการ จาก นั้นผนังเซลล์จะกลับคืนสู่สภาพปกติ การรักษา ด้วย Infusion มีประสิทธิภาพของสูงกว่า การทำทรีตเมนต์ ด้วยไอออนโต หรือ โฟโนโฟรีซิส ทั่วๆ ไป เพราะสามารถผลักสารได้ในปริมาณที่มากกว่า และลงไปในผิวได้ลึกยิ่งกว่า โดยที่ไม่รู้สึกเจ็บ
ประสิทธิภาพการรักษา
  • ลดปัญหาผิวเปลือกส้ม ในระยะสั้นๆ (Temporary reduction in the appearance of cellulite)
  • ลดการสะสมของไขมันเฉพาะส่วนของร่างกาย (Temporary reduction of local fat)
  • ลดริ้วรอยต่างๆ (Minimizing fine lines and wrinkles)
  • กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว (Skin Rejuvenation)
  • กระชับผิวหน้าและผิวกาย (Skin tightening for body and face)
  • ลดสัดส่วนผิวกาย (Body sculpting and contouring)
การรักษาด้วยเทคโนโลยี  Infusion
ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาประเทศอเมริกา (US FDA)และประเทศไทย (THAI FDA)
  • เป็นการรักษาที่มีความปลอดภัยสูง
  • สามารถผลักสารหรือวิตามินที่ต้องการใช้ในการรักษาได้หลายชนิด ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการรักษา
  • ขณะเข้ารับการรักษา จะรู้สึกยิบๆ เล็กน้อย หรืออาจไม่รู้สึกเลยก็ได้
  • เห็นผลการรักษาชัดเจน ตั้งแต่หลังการรักษาครั้งแรก
  • ใช้ร่วมกับการรักษาชนิดอื่นๆได้ เช่น การกรอผิว หรือทำเลเซอร์
ข้อห้ามใช้ Infusion
  1. ผู้ที่มีเครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker of internal defibrillator)
  2. ผู้ที่ได้รับการผ่าตัดดามเหล็กในบริเวณที่ทำการรักษา (Superficial metal or other implants in the treatment area)
  3. ผู้ที่มีความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันควรปรึกษาแพทย์ก่อน (Immune system disorders)
  4. ผู้ที่มีประวัติเป็นโรคลมชัก (Epilepsy)
  5. ผู้ที่ตั้งครรภ์ (Pregnancy)
  6. ผู้ที่รับการฉีดโบท็อกซ์หรือคอลลาเจนควรทิ้งระยะห่าง อย่างน้อย 15 วันหลังจากรับการฉีด (Botox or another type of collagen
    treatment within the last 15 days)
  7. ผู้ที่รับการผ่าตัด ซึ่งอยู่ในช่วง 40 วันหลังการผ่าตัด (Surgery of any type within the last 40 days)
  8. ผู้ที่มีโรคผิวหนังเรื้อรังต่างๆ และอยู่ในระยะที่แสดงอาการ (Any chronic or active skin disease such as eczema, psoriasis, sores and rash)
  9. ผู้ที่มีอาการของโรคเริม (Herpes zoster)
คำแนะนำและการดูแลหลังการรักษา
  1. หลังการรักษาสามารถแต่งหน้า และปฏิบัติตัวได้ตามปกติ หลีกเลี่ยงการโดนแดดจัด 2 อาทิตย์หลังทำ และควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงกว่า 30
  2. สภาพผิวดีขึ้น ตึงกระชับขึ้น และผิวกระจ่างใสขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกของการรักษา
  3. การรักษาขึ้นอยู่กับสภาพผิว และปัญหาของผิวของแต่ละคนซึ่งแพทย์จะทำการวินิจฉัยและดูแล
  4. ควรทำการรักษาต่อเนื่อง 6-8 ครั้ง ทุกๆ 7-10 วัน และรักษาเพื่อคงสภาพผลการรักษา (maintenance) ทุกๆ 4-6 สัปดาห์

โปรแกรมและแพ็คเกจ

5 ไอเดียการเลือกของขวัญให้คุณและคนที่คุณรัก

5 ไอเดียการเลือกของขวัญให้คุณและคนที่คุณรัก

Gift for Health
เริ่มเข้าสู่เทศกาลปีใหม่ ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาแห่งความสุข  หลายคนคงมองหาของขวัญให้กับตัวเอง หรือเพื่อมอบให้คนที่เรารัก แต่ของขวัญเหล่านั้นจะได้ประโยชน์ทางด้านไหนกันนะ วันนี้จึงมานำเสนอไอเดียการเลือกของขวัญที่ดีต่อสุขภาพ แต่จะเป็นด้านไหนมาลองดูกันค่ะ
1. ของขวัญที่ดีต่อ สมอง
ของขวัญที่ดีและมีประโยชน์ต่อสมอง ก็คือ ความรู้หรือทักษะใหม่ๆ  การให้ของขวัญเป็นพวกหนังสือต่างๆ หรือ เกมส์เสริมความรู้ หรือคอร์สเรียนเสริม จะช่วยกระตุ้นสมองให้เกิดความคิด ความรู้ และสร้างสรรค์   เพื่อให้ทันกับโลกยุดปัจจุบันด 4.0  ดังนั้นทุกอย่างจะรวดเร็ว การพัฒนาตนเองให้ทันต่อโลกจึงเป็นสิ่งจำเป็นนะคะ
2. ของขวัญที่ดี ต่อ ร่างกาย
ของขวัญสำหรับร่างกาย ก็คงไม่พ้นเรื่องเครื่องประทินผิวต่างๆ ที่ผลิตด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ  รวมถึงอุปกรณ์กีฬา ที่จะส่งเสริมให้ร่างกาย ดู ฟิตแอนด์เฟริ์ม ดูดีจากภายนอก
3. ของขวัญที่ดี ต่อ ใจ
หลังจากที่ดูดีจากภายนอกแล้ว ของขวัญที่ดีสำหรับภายใน  คือการ ‘ให้โอกาส’ กับตัวเอง ทำในสิ่งที่อยากทำ ซึ่งอาจทำได้หลายอย่าง เช่น การไปท่องเที่ยวในที่ใหม่ๆ  ทานอาหารที่ชื่นชอบหรือเมนูใหม่  แม้แต่การเปิดโอกาสรับสิ่งใหม่ๆ เพื่อนใหม่  เทคโนโลยีใหม่  บางคนอาจจะเลือกการฟังธรรม เพื่อจรรโลงจิตใจก็ได้ค่ะ
4. ของขวัญที่ดี ต่อ สิ่งแวดล้อม
ของขวัญชิคๆ สุดฮิตในขณะนี้  คือ กระเป๋ารักโลก หรือถุงผ้าแบบ  DIY  รวมถึงการให้ หรือการร่วมโครงการปลูกต้นไม้  การให้ของขวัญที่ดี ต่อสิ่งแวดล้อม ถือเป็นการให้ที่สามารถมอบให้กับคนจำนวนมาก ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เป็นของขวัญที่ยิ่งใหญ่
5. ของขวัญที่ดี ต่อ สุขภาพ
ของขวัญชิ้นนี้ คือ การรักษาสุขภาพ เช่น กินอาหารที่มีประโยชน์  ผักผลไม้ที่เป็นออร์แกนิค หรือออกกำลังกาย  รวมถึงการตรวจสุขภาพ  ตามปกติแล้วเราทุกคนควรได้รับการตรวจสุขภาพทุกปี เพื่อคัดกรองโรคในผู้ที่ยังไม่มีอาการ และให้เจอโรคในระยะแรกเริ่มต้น  ซึ่งจะทำให้ผลการรักษามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
เป็นอย่างไรกันบ้าง คิดออกหรือยังคะว่าเลือกชนิดไหน แต่ของขวัญเหล่านี้ที่จริงแล้ว เราควรให้กับตัวเองให้ครบทุกชิ้น เพราะแต่ละชิ้นนั้นสร้างคุณค่าต่างๆ กัน ซึ่งอาจจะไม่ต้องเป็นให้ตามเทศกาลเสมอไป แต่เราควรให้กันทุกวันค่ะ โดยเฉพาะของขวัญเพื่อสุขภาพชนิดสุดท้ายที่ควรมอบให้กันทุกๆ ปี เพราะในแต่ละปีเราต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ ที่อยูรอบๆ ตัวและอายุที่มากขึ้นทำให้ระบบต่างๆ ในร่างกายมีการเปลี่ยนแปลง รวมถึงพฤติกรรมการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนไป ดูแล ป้องกันตั้งแต่วันนี้นะคะ

โปรแกรมและแพ็คเกจ

e-Light ฟื้นฟูผิวให้อ่อนเยาว์และยกกระชับใบหน้า

ฟื้นฟูผิวให้อ่อนเยาว์ ยกกระชับใบหน้าและลำคอ ด้วย e-Light

e-Light (Intense Pulse Light combine Radio Frequency)
e-Light เป็นการรักษาผิวพรรณโดยผ่านเทคโนโลยี 2 ชนิด ผสานการทำงานร่วมกัน คือ พลังงานแสง (IPL) และคลื่นวิทยุที่เหนี่ยวนำประจุไฟฟ้า (RF) พร้อมกับ Cooling การปรับอุณหภูมิให้ผิวผ่อนคลาย ให้ทำงานพร้อมๆกัน เพื่อปรับสภาพ ฟื้นฟูผิวพรรณคืนความสดใสอ่อนเยาว์ จากการทำร้ายของแสงแดดและเวลา ทำให้การรักษามีความอ่อนโยน ปลอดภัยต่อผิว ใช้เวลาในการรักษาน้อย (15 นาที) เห็นผลเร็ว สามารถสังเกตเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้หลังการรักษา

ประสิทธิภาพในการทำงาน

1.ฟื้นฟูผิวให้อ่อนเยาว์ (Rejuvenation)
  • แก้ปัญหาริ้วรอยบนใบหน้า ที่เกิดจากความผิดปกติ เช่น รอยแดง(Erythema) ,รอยแดงจากสิว(Rosacea) ,มีเส้นเลือดฝอยผิดปกติ(Telangiectasia)
  • ปรับสีผิวให้เรียบเนียนสม่ำเสมอ สีผิวไม่เรียบ(Poikiloderma)
  • ลบเลือนจุดด่างดำ เช่น มีเม็ดสีคล้ำ(Hyperpigmentation) ,สีผิวไม่สม่ำเสมอ(Dyschromia) ,ผิวตกกระ จากแสงแดด(Lentigines) นอกจากนี้ยังช่วยให้ฝ้าจางลง
  • กระชับรูขุมขน และเพิ่มความยืดหยุ่น ลดริ้วรอย
  • คืนความอ่อนเยาว์ให้กับผิว
2.ยกกระชับใบหน้าและลำคอ (Skin Tightening)
ST Applicator เป็นการนำพลังงานบริสุทธิ์ที่ใช้นั้นคือ การรวมเอาพลังงานอินฟราเรด (IR) และ RF มาผสานเป็นหนึ่งเดียว เพื่อประโยชน์ คือ
  • ยกกระชับใบหน้าและลำคอ(Skin Tightening)
  • สามารถยกกระชับ ร่องแก้ม ถุงใต้ตา คอ หางตา หน้าผาก มือ หน้าท้องลาย
  • สามารถใช้ได้ดีในทุกสีสภาพผิวคนไข้(all skin type)
ข้อดีของ e-Light จากการผสานพลังงานเป็นหนึ่งเดียวในการทำงาน (ELŌS™ Technology)
  • ใช้เวลาในการรักษาน้อย เพราะทำงานไปพร้อมกันทั้ง IPL และ RF
  • ปลอดภัย ลดอาการข้างเคียง (burn) ที่เกิดจาการทำ IPL หรือ RF อย่างเดี่ยวๆ เหมาะสำหรับผิวคนเอเชีย
  • ให้ผลการรักษาที่ดีกว่า การใช้พลังงานเดี่ยวๆ
  • สะดวก ในการรักษาทั้งหมอและคนไข้
ขั้นตอนการทำสะดวกมาก เพียงแค่
  1. ล้างหน้าให้สะอาดหมดจด ปราศจากเครื่องสำอาง
  2. เคลือบผิวด้วย Water Base Gel
  3. ยิงแสงของ e-Light ลงบนผิวหน้า
ขณะรักษาจะได้ความรู้สึกเหมือนถูกดีดเบาๆที่ผิว เมื่อทำเสร็จอาจจะรู้สึกอุ่นๆที่ผิวเล็กน้อย ผิวอาจมีสีชมพู หรือแดงขึ้นนิดหน่อย ถ้าบริเวณที่มีกระหรือจุดด่างดำ สีจะเข้มขึ้น และจะกลายเป็นสะเก็ดบางๆในวันรุ่งขึ้น และลอกออกภายใน 1 สัปดาห์ หลังจากนั้นจุดด่างดำและกระจะจางลงหรือหายไป และไม่ก่อให้เกิดรอยแผลทิ้งไว้เหมือน laser รุ่นเก่าๆ หลังจากทำเสร็จสามารถแต่งหน้าได้ตามปกติ เมื่อทำหลายๆครั้ง จุดด่างดำ กระ และความผิดปกติของสีผิวจะจางลง หน้าดูใสและเนียนขึ้น
ในระยะแรก แนะนำให้ทำติดต่อกันประมาณ 5 ครั้ง ห่างกันทุก 2-4 สัปดาห์
ข้อแนะนำและการดูแลหลังการรักษา
  • หลังการรักษาสามารถแต่งหน้า และปฏิบัติตัวได้ตามปกติ
  • หลีกเลี่ยงการโดนแดดจัด 2 อาทิตย์หลังทำ และควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงกว่า 30
  • ห้ามแกะสะเก็ดที่เกิดขึ้นหลังการรักษา ต้องปล่อยให้หลุดเอง บริเวณหน้า ประมาณ 1 อาทิตย์ ลำตัวประมาณ 2 อาทิตย์
  • หากมีการเข้มขึ้นของเม็ดสีบนผิวหน้า 2-3 วันแล้วไม่จางลง ไม่ต้องตกใจ ให้มารับการรักษาตามปกติ แล้วเม็ดสีที่เข้มขึ้นจะค่อยๆจางลงหรืออาจหายไป
หมายเหตุ
Skin impedence control เป็นระบบควบคุมความปลอดภัยให้กับผิวของคนไข้ เพื่อป้องกัน ความร้อนที่มากเกินไปจากการใช้พลังงานที่สูง โดยเครื่องจะมีระบบวัดและตัดพลังงานโดยอัตโนมัติ จากการตั้งค่า ISL ซึ่ง elōs™ Technology เป็นระบบเดียวที่ทำได้ จึงลดความเสี่ยงในเรื่อง burn อีกทั้งยังเป็นตัว feedback parameter ที่ใช้ ให้กับแพทย์อีกด้วย

โปรแกรมและแพ็คเกจ

งูสวัด ภัยเงียบ สำหรับผู้สูงอายุ

งูสวัด ภัยเงียบ สำหรับผู้สูงอายุ

Herpes Zoster
สาเหตุ
เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า "วาริเซลลาซอสเตอร์ (วี-แซด) ไวรัส" ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ครั้งแรกจะแสดงอาการของไข้สุกใส (ซึ่งมักเกิดขึ้นในวัยเด็ก) ดังนั้นผู้ป่วยจึงมักมีประวัติเคยเป็นไข้สุกใสมาก่อน หลังจากหายจากไข้สุกใสแล้ว เชื้อจะหลบซ่อน และแฝงตัวอยู่บริเวณปมประสาทใต้ผิวหนัง ซึ่งอาจนานหลายปี โดยไม่มีอาการผิดปกติใดๆ
เมื่อร่างกายมีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำกว่าปกติ เช่น อายุมากขึ้น ถูกกระทบกระเทือน มีความเครียด ทำงานหนัก พักผ่อนไม่พอ โรคเอดส์หรือโรคมะเร็งที่ได้รับยากดภูมิต้านทาน เป็นต้น เชื้อที่แฝงตัวอยู่นั้นก็จะแบ่งตัวเพิ่มจำนวน และกระจายในปมประสาท ทำให้เส้นประสาทอักเสบ เชื้อจะกระจายไปตามเส้นประสาทที่อักเสบ และปล่อยเชื้อไวรัสออกมาที่ผิวหนัง เกิดเป็นตุ่มใสเรียงเป็นแนวยาวตามแนวเส้นประสาท คล้ายกับรูปร่างของงู จึงเรียกว่า โรคงูสวัด
อาการ
ก่อนมีอาการผื่นขึ้น 1-3 วัน ผู้ป่วยจะมีอาการปวดแปล๊บ คล้ายถูกไฟช็อตในบริเวณที่ผื่นจะขึ้น ซึ่งเป็นบริเวณปมประสาทที่มีเชื้อไวรัสแฝงตัวอยู่ อาจมีอาการคันและแสบร้อนร่วมด้วย เป็นพักๆ หรือตลอดเวลา บางรายอาจมีไข้ หนาวสั่น ร่วมด้วย ผื่นมักเริ่มขึ้นตรงบริเวณที่มีอาการ ลักษณะเป็นผื่นแดงอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ต่อมากลายเป็นตุ่มน้ำใสเรียงตามแนวผิวหนังซีกใดซีกหนึ่งของร่างกาย ตามแนวเส้นประสาทที่อักเสบ ตุ่มน้ำมักทยอยขึ้นใน 4 วันแรก แล้วค่อยๆ แห้งตกสะเก็ดใน 7-10 วัน เมื่อตกสะเก็ดและหลุดออกไป อาการปวดจะทุเลาไป ผื่นจะอยู่นาน 10-15 วัน ผู้สูงอายุอาจ มีอาการนานเป็นเดือนกว่าจะหาย
งูสวัดพันตัวแล้วทำให้ตายหรือไม่ ?
โรคงูสวัดไม่ทำให้ตาย และสามารถหายได้เองในผู้ป่วยที่มีภูมิต้านทานปกติ โดยผื่นในโรคงูสวัดนั้น จะไม่สามารถพันตัวเราจนครบรอบเอวได้เพราะแนวเส้นประสาทของตัวเรา จะมาสิ้นสุดที่บริเวณกึ่งกลางลำตัวเท่านั้น ดังนั้นในคนธรรมดาที่มีภูมิต้านทานปกติ งูสวัดจะไม่ลุกลามเกินแนวกึ่งกลางลำตัวไปอีกซีกหนึ่งของร่างกาย ยกเว้นในกรณีที่มีภูมิต้านทานต่ำ เช่น โรคเอดส์ มะเร็งต่อมน้ำเหลือง หรือมะเร็งเม็ดเลือดขาวที่ได้ยากดภูมิต้านทาน ผื่นอาจปรากฏขึ้นสองข้างพร้อมกัน ทำให้ดูเหมือนงูสวัดพันรอบตัวได้ บางครั้งในรายที่เป็นรุนแรง อาจเกิดผื่นงูสวัดแบบแพร่กระจายผื่นอาจลุกลามเข้าสู่สมองและอวัยวะภายในอื่นๆ เช่น ปอดหรือตับเป็นต้น ซึ่งเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
งูสวัดเป็นโรคติดต่อหรือไม่ ?
ในคนที่ภูมิคุ้มกันปกติ การสัมผัสหรือใกล้ชิดไม่ได้ทำให้ติดงูสวัด เนื่องจากการติดเชื้อไวรัสจากผู้ป่วยงูสวัดนั้นเกิดยาก เพราะงูสวัดจะแพร่เชื้อในระยะที่ตุ่มน้ำแตกและสัมผัสสารคัดหลั่งจากตุ่มน้ำโดยตรง จึงสามารถที่จะสัมผัสใกล้ชิด กินข้าวร่วมกับผู้ป่วยได้ตามปกติ ยกเว้นในคนที่ยังไม่เคยเป็นโรคสุกใสมาก่อน หากสัมผัสคนที่เป็นงูสวัดก็จะได้รับเชื้อและเป็นไข้สุกใสได้ แต่ในผู้ป่วยที่เป็นงูสวัดแบบแพร่กระจายอาจสามารถแพร่เชื้อทางลมหายใจได้ด้วย
การรักษา
การรักษาตามอาการ เช่น ยาแก้ปวด ลดไข้ เป็นต้น เนื่องจากโรคงูสวัดสามารถหายได้เอง เมื่อผู้ป่วยมีภูมิต้านทานดี เช่น พักผ่อนเพียงพอ ในบางครั้งหากผื่นติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน เป็นหนอง การใช้ยาปฏิชีวนะแบบทา หรือรับประทานจะมีประโยชน์ สำหรับผู้สูงอายุ หรืออายุมากกว่า 50 ปี ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำมาก หรือมีอาการปวดรุนแรงตั้งแต่แรกที่มีผื่นขึ้น การใช้ยาต้านไวรัสแบบรับประทาน ที่ใช้บ่อยคือยา อะไซโคลเวียร์ ครั้งละ 800 มก.วันละ 5 ครั้ง ทุก 4 ชั่วโมง (เว้นมื้อดึก 1 มื้อ) การให้ภายใน 48-72 ชั่วโมงหลังเกิดอาการจะลดความรุนแรงของโรค และช่วยให้หายเร็วขึ้น รวมทั้งลดภาวะแทรกซ้อนในภายหลังได้

ในรายที่รุนแรง แบบแพร่กระจายหรือเข้าตา แพทย์อาจพิจารณาให้ยาต้านไวรัสในรูปแบบฉีดเข้าเส้นเลือดดำแทน ซึ่งผลการรักษาจะได้ประสิทธิภาพกว่ามาก และลดสภาวะแทรกซ้อนอื่นที่จะตามมา
ภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยคือ อาการปวดตามแนวประสาทหลังเป็นงูสวัด
โดยเฉลี่ยพบได้ประมาณร้อยละ 10-15 ของผู้ป่วยงูสวัด พบได้ประมาณร้อยละ 50 ในผู้ป่วยที่มีอายุเกิน 50 ปีขึ้นไป และมากกว่าร้อยละ 70 ในผู้ป่วยอายุ 70 ปีขึ้นไป โดยยิ่งอายุมากยิ่งเป็นรุนแรงและนาน ผู้ป่วยจะมีอาการปวดเกิดขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่แรก หรือเกิดขึ้นภายหลังผื่นหายหมดแล้วก็ได้ มีลักษณะปวด ลึกๆ แบบปวดแสบปวดร้อนตลอดเวลา หรือปวดแบบแปลบๆ เสียวๆ (คล้ายถูกมีดแทง) เป็นพักๆ ก็ได้ มักปวดเวลาถูกสัมผัสเพียงเบาๆ ปวดมากตอนกลางคืนหรือเวลาอากาศเปลี่ยนแปลง บางครั้งอาจรุนแรงมากจนทนไม่ได้ อาการปวดมักหายได้เอง (ร้อยละ 50 หายเองภายใน 3 เดือน และร้อยละ 75 จะหายเองภายใน 1 ปี) บางรายอาจปวดนานหลายปี โดยเฉพาะ อย่างยิ่งถ้าขึ้นที่บริเวณใบหน้า
การปฏิบัติตนเมื่อพบว่าเป็นงูสวัด
  1. รักษาแผลให้สะอาด ในระยะเป็นตุ่มน้ำใสที่มีอาการปวดแสบปวดร้อนให้ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำเกลืออุ่นๆ หรือ กรดบอริก 3% ปิดประคบไว้ประมาณ 5-10 นาที แล้วชุบเปลี่ยนใหม่ ทำวันละ 3-4 ครั้ง ในระยะตุ่มน้ำแตกมีน้ำเหลืองไหลต้องระมัดระวังการติดเชื้อแบคทีเรียที่จะเข้าสู่แผลได้ ควรใช้น้ำเกลือสะอาดชะแผล แล้วปิดด้วยผ้าก๊อซสะอาด
  2. ถ้าปวดแผลมากสามารถรับประทานยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล ได้
  3. ไม่ควรใช้เล็บแกะเกาตุ่มงูสวัดเพราะอาจทำให้ มีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน กลายเป็นตุ่มหนอง แผลหายช้า และกลายเป็นแผลเป็น
  4. การรับประทานอาหาร สามารถรับประทานได้ทุกอย่าง โดยไม่มีข้อห้าม
  5. ไม่ควรเป่า หรือพ่นยาลงบนแผล เพราะจะทำให้ติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน แผลหายช้า และกลายเป็นแผลเป็น
ผู้ป่วยที่สงสัยว่าเป็นงูสวัดแล้วต้องมาพบแพทย์ทันที
  1. ผู้สูงอายุ มากกว่า 50 ปีชึ้นไป
  2. ผู้ป่วยที่มีภูมิต้านทานต่ำ จากการได้ยากดภูมิต้านทาน ได้แก่ ยาฆ่าเซลล์มะเร็ง หรือจากการได้รับการฉายรังสี ผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งของต่อมน้ำเหลือง หรือผู้ป่วยโรคเอดส์ เป็นต้น
  3. มีผื่นงูสวัดที่จมูก หรือใกล้ตา เนื่องจากมีโอกาสสูงที่จะลามเข้าตาได้ ทำให้เกิดกระจกตาอักเสบ แผลกระจกตา ม่านตาอักเสบ ต้อหิน ประสาทตาอักเสบ หรือตาบอดในที่สุด
  4. มีผื่นงูสวัดที่ใบหน้า,บริเวณหูด้านนอกหรือแก้วหู เพราะอาจทำให้เกิดอัมพาตใบหน้าครึ่งซีก บ้านหมุนคลื่นไส้ เวียนศีรษะ หรืออาเจียน ได้
  5. มีผื่นงูสวัดที่เข้าได้กับผื่นแบบแพร่กระจาย
  6. มีอาการปวดรุนแรงซึ่งกระทบต่อชีวิตประจำวัน

โปรแกรมและแพ็คเกจ

โรคภูมิแพ้ทางผิวหนัง (Allergic skin disease)

โรคภูมิแพ้ทางผิวหนัง (Allergic skin disease)

โรคภูมิแพ้ทางผิวหนัง(Allergic skin disease)

โดยผู้ป่วยที่เป็นลมพิษจะเริ่มด้วยอาการคัน หลังจากนั้นจะมีอาการบวม เป็นได้ทั้งตัวโดยเฉพาะที่ถูกเกาหรือกดรัด มักเป็นๆหายๆ อาการบวมอาจจะเป็นแบบตุ่มนูนที่มีขนาดแตกต่างกัน ส่วนใหญ่อาจดูคล้ายตุ่มยุงกัด แต่บางแห่งจะดูคล้ายแผนที่ โดยตรงกลางผื่นสีจะจางและไม่นูน ผื่นลมพิษนี้ อาจมีลักษณะแตกต่างไป ในบางครั้งจะรวมกันเป็นปื้นหนา หรือ อาจมีจุดขาวซีดๆ ตรงกลาง ขณะที่ขอบโดยรอบจะหนานูนแดง ผื่นลมพิษจะเห่อเร็วและผื่นนั้นมักจะหายภายใน 4-6 ชั่วโมงโดยไม่มีร่องรอยหลงเหลือ แล้วก็จะย้ายไปขึ้นบริเวณอื่นได้อีก โดยมากผื่นจะหายไปใน 24 ชั่วโมง ถ้าเป็นนานเกิน 24 ชั่วโมงให้นึกว่าอาจจะเป็นโรคอื่น ในรายที่เป็นมากอาจมีอาการบวมของหนังตา ริมฝีปาก อวัยวะเพศ และทางเดินหายใจ ร่วมด้วย
ส่วนผู้ป่วยที่เป็นโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ มักเริ่มมีอาการตั้งแต่อายุขวบปีแรก โดยประ มาณ 80-90% ของเด็กที่เป็นโรคนี้ มักมีอาการก่อนอายุ 7 ปี โดยผู้ป่วยจะมีอาการผื่นคันตามลำ ตัวและหน้า เป็นๆหายๆ ผิวแห้ง อักเสบ และมีอาการกำเริบเป็นระยะๆเมื่อได้รับสารกระตุ้น ผู้ป่วยเด็กที่เป็นโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ จะมีโอกาสเสี่ยงในการเกิดโรคภูมิแพ้ระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะโรคหืดเมื่อเด็กโตขึ้น
สาเหตุที่สำคัญของโรคภูมิแพ้ทางผิวหนังในเด็ก ได้แก่ แพ้อาหาร โดยอาหารที่พบว่าแพ้ได้บ่อยในเด็กไทยคือ ไข่ นมวัวอาหารทะเล และแป้งสาลี
โรคภูมิแพ้ทางดวงตา(Eye allergy)

เป็นการอักเสบที่เยื่อตาขาว และใต้หนังตา ผู้ ป่วยจะมีอาการ คันตา ตาแดง น้ำตาไหล แสบตาและมีขี้ตา โดยมักมีอาการช่วงได้รับสารกระตุ้น เช่น ฝุ่น ละอองเกสรหญ้า หรือขนสัตว์ ผู้ป่วยที่มีอาการภูมิแพ้ทางดวงตามักพบร่วมกับอาการโพรงจมูกอักเสบจากภูมิแพ้
โรคภูมิแพ้ชนิดรุนแรงที่มีอาการหลายระบบ(Anaphylaxis)

เป็นปฏิกิริยาภูมิแพ้ที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ อาการแพ้จะเกิดขึ้นรุนแรง รวดเร็วและมีอาการหลายระบบ โดยผู้ป่วยอาจมีอาการคัน ลมพิษ บวมที่หน้า ปาก แน่นในลำคอ จาม น้ำมูกไหล หายใจลำบาก บางรายอาจมีอาการปวดท้อง อาเจียนท้องเสีย ความดันโลหิตลดต่ำลง หมดความรู้สึก และอาจถึงแก่ชีวิตได้ ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ในรายที่เป็นโรคหืดอยู่เดิมอาจไปกระตุ้นให้โรคหืดกำเริบได้
สาเหตุที่สำคัญของโรคภูมิแพ้ชนิดรุนแรงคือ ภาวะแพ้ อาหาร ยา แมลงต่อย (ผึ้ง ต่อ มด กัดต่อย: การปฐมพยาบาล การรักษาและการป้องกัน) ซึ่งผู้ป่วยที่มีภาวะแพ้ชนิดนี้ควรหลีก เลี่ยงสารที่แพ้ และในรายที่เคยเกิดอาการแพ้ที่รุนแรง เช่นช็อก ผู้ป่วยควรมียาฉีด Adrenaline/ Epinephrine (ยารักษาโรคภูมิแพ้ชนิดรุนแรง ที่ช่วยกระตุ้นการเต้นของหัวใจ และช่วยเพิ่มความดันโลหิต) พกติดตัวไว้ด้วยเพื่อป้องกันการเสียชีวิตก่อนที่จะพบแพทย์
การวินิจฉัย

แพทย์วินิจฉัยโรคภูมิแพ้ โดยสังเกตจากอาการที่เข้ากันได้กับโรคนี้ ดังได้กล่าวแล้วในหัว ข้อ ชนิดของโรคภูมิแพ้ การมีอาการเรื้อรังเป็นๆหายๆ การมักมีประวัติครอบครัวร่วมด้วย และอาจทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น การทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนัง หรือเจาะเลือดเพื่อหาสาเหตุของอาการที่แพ้ หรือกรณีที่เป็นโรคหืดก็ทำการทดสอบสมรรถภาพปอด เป็นต้น
การรักษา

หลักการดูแลผู้ป่วยโรคภูมิแพ้มีหลักการทั่วไปคือ
  • ควบคุมสิ่งแวดล้อมและสารก่อภูมิแพ้
  • ให้การรักษาด้วยยา
การควบคุมสิ่งแวดล้อมและสารก่อภูมิแพ้ ได้มีการสำรวจผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ในประเทศไทยพบว่า มักจะแพ้ไรฝุ่น ฝุ่นบ้าน เป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาได้แก่ แมลงสาบ ละอองเกสรพืช และขนสัตว์ ถ้าทำได้ แนะนำให้ทำการทดสอบผิวหนังในผู้เป็นโรคภูมิแพ้ทุกคน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่าแพ้อะไร จะได้หลีกเลี่ยงได้ถูกต้อง และยังใช้เป็นแนวทางในการพิจารณาทำการรักษาด้วยการฉีดวัคซีนอีกด้วย ผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิแพ้ที่ไม่ได้รับการทดสอบผิว หนัง หรือไม่สามารถทำการทดสอบได้ก็ควรหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ ซึ่งที่พบบ่อย คือ
  1. ไรฝุ่น
    • จัดห้องนอนให้โล่ง ไม่ควรมี พรม ตุ๊กตา และผ้าม่าน
    • ซัก ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน และผ้าห่มด้วยน้ำร้อนอุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 30 นาที อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง
    • คลุมที่นอน หมอน หมอนข้างด้วยผ้าใยสังเคราะห์ชนิดพิเศษซึ่งสามารถกันไม่ให้ตัวไรฝุ่นลอดผ่านขึ้นมาได้
  2. แมลงสาบ
    • ขจัดแหล่งอาหารของแมลงสาบ โดยทิ้งขยะและเศษอาหารในถุงหรือถังขยะที่มีฝาปิดมิดชิด
    • ใช้ยาฆ่าแมลงสาบและกับดักแมลงสาบ
  3. สัตว์เลี้ยง
    • ไม่ควรเลี้ยงสัตว์มีขน เช่น สุนัข แมว นก กระต่าย
    • ถ้าเลี่ยงไม่ได้ ควรให้สัตว์เลี้ยงอยู่นอกบ้าน และอาบน้ำให้ทุกสัปดาห์
    • ใช้เครื่องดูดฝุ่น และเครื่องกรองอากาศ
  4. เกสรหญ้า
    • ควรตัดหญ้าและวัชพืชบริเวณบ้านบ่อยๆ เพื่อลดจำนวนเกสร
    • ไม่ควรนำต้นไม้ ดอกไม้สด หรือแห้ง ไว้ในบ้าน
    • ในช่วงที่มีละอองเกสรมาก ควรปิดประตู หน้าต่าง และใช้เครื่องปรับอากาศ หรือเครื่องฟออากาศ
    • ทำกิจกรรมกลางแจ้งในช่วงเช้า เพราะละอองเกสรจะปลิวมากช่วงตอนเย็น
นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงสารระคายเคืองต่างๆ ที่อาจทำให้อาการภูมิแพ้กำเริบ ได้แก่ ควันบุหรี่ ควันท่อไอเสีย กลิ่นฉุน น้ำหอม ควันธูป และฝุ่นละอองจากแหล่งต่างๆ การออกกำลังกายสม่ำเสมอและนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอก็มีความสำคัญ โดยพบว่าผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ มักมีอา การแย่ลงเมื่อมีภาวะเครียด และอดนอน ดังนั้นควรดูแลสุขภาพตัวเองไม่ให้เครียดมากและควรนอนพักผ่อนให้เพียงพอ ในกรณีมีอาการโรคหืดกำเริบจากการออกกำลังกาย การพ่นยาขยายหลอดลมก่อนการออกกำลังกาย 15-30 นาทีจะช่วยป้องกันการหอบระหว่างออกกำลังกายได้
การให้การรักษาด้วยยา

เราอาจแบ่งการรักษาโรคภูมิแพ้ออกได้เป็น 3 ระดับเพื่อความเข้าใจง่ายๆดังนี้
  1. ยาบรรเทาอาการต่างๆ เช่นยาแก้แพ้ หรือยาต้านฮิสตามีน (Antihistamine) และยาขยายหลอดลม
  2. ยาต้านการอักเสบเช่น ยาสเตียรอยด์พ่นจมูก หรือสูดทางปาก
  3. การใช้วัคซีนภูมิแพ้เป็นการรักษาโดยการฉีดสารก่อภูมิแพ้เข้าไปในร่างกายเริ่มจากปริมาณน้อยๆ และเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆจนร่างกายเกิดความชินต่อสารก่อภูมิแพ้นั้น ซึ่งผู้ป่วยที่ควรรับการรักษาโดยวิธีฉีดวัคซีนภูมิแพ้คือ ผู้ป่วยที่รักษาด้วยยาแล้วไม่ดีขึ้น หรือมีผลข้างเคียงจากยา โดยก่อนจะเลือกรักษาด้วยการฉีดวัคซีน จำเป็นต้องทราบก่อนว่าแพ้อะไร เพื่อจะได้นำสารที่แพ้มาฉีดเป็นวัคซีน ซึ่งการรักษาโดยวิธีนี้ควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง และผู้ป่วยต้องรับการรักษาอย่างต่อเนื่องตามแพทย์แนะนำอย่างน้อย 3-5 ปี

Diamond Peel ผลัดเซลล์ผิว ให้อ่อนเยาว์ กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่

Diamond Peel ผลัดเซลล์ผิว ให้อ่อนเยาว์ กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่

เป็นการผลัดเซลล์ผิวชั้นหนังกำพร้า โดยอาศัยการทำงานของ หัวขัดผิวหนังคริสตัลชนิด Diamond ซึ่งจะใช้ร่วมกับระบบดูด สูญญากาศ (vacuum) ทำให้การผลัดเซลล์ผิวหนัง และสิ่งอุดตัน เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นุ่มนวล และ ไม่ก่อให้เกิดการแพ้ (hypoallergenic)การผลัดเซลล์ผิวออกในขณะที่มีการ suction ผิวเบาๆ เป็น การกระตุ้นระบบการไหลเวียนโลหิตของผิวที่ทำการรักษา และยังช่วย กระตุ้นให้เกิดการสร้างเซลล์ผิวใหม่ สร้างคอลลาเจน (collagen) และ อีลาสติน (elastin) ทำให้โครงสร้างผิวมีความแข็งแรงขึ้น ทำการรักษา ได้ในทุกสีผิว (skin type) และทุกส่วนของร่างกาย เช่น ใบหน้า ลำคอ มือ และบริเวณลำตัว หมดกังวลสำหรับผู้ที่มีสี ผิวคล้ำไม่สม่ำเสมอ รอยแผลเป็นจากสิว ริ้วรอย รูขุมขนกว้าง และรอยแตกลาย “คุณจะรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของผิวที่สะอาด กระจ่างใส และเรียบเนียนขึ้น หลังเข้ารับการรักษาในครั้งแรก”

ประสิทธิภาพการรักษาด้วย Diamond peel

การรักษาด้วย Diamond peel microdermabrasion เป็นการรักษาที่ปลอดภัยและเป็นการขัดผิวได้อย่างล้ำลึก ทั้งยังกระตุ้นให้ผิวแข็งแรงยิ่งขึ้นโดยใช้ laser-cut diamond เพื่อผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกได้อย่างหมดจด พร้อมทั้ง กระตุ้นให้มีการสร้างเซลล์ผิวใหม่ที่แข็งแรงขึ้น ทำให้ผิวเรียบเนียน กระจ่างใสและไร้ริ้วรอย

  • ริ้วรอยต่างๆ (Fine lines & wrinkles)
  • รอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวและรอยแผลเป็นต่างๆ (Acne &trauma scars)
  • รูขุมขนกว้าง (Enlarged pores)
  • สิวหัวดำและสิวหัวขาว (Blackheads&whiteheads)
  • จุดด่างดำจากการโดนแสงแดดทำลาย (Sunspots)
  • ผิวไม่เรียบเนียน (Uneven skin texture)

ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาประเทศสหรัฐอเมริกา (US FDA)และประเทศไทย (THAI FDA)

  • ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสำหรับการรักษาทั้งผิวหน้าและผิวกาย
  • เป็นการรักษาที่ไม่เจ็บและไม่มีผลข้างเคียง
  • เป็นการรักษาที่สะอาดและไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือแพ้
  • เห็นผลการรักษาที่ชัดเจนตั้งแต่ครั้งแรกของการรักษา

คำแนะนำและการดูแลหลังการรักษา

  1. หลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดจัดๆ และความร้อน ซึ่งเป็นสาเหตุ ทำให้เกิดรอยหมองคล้ำ
  2.  ใช้ครีมกันแดด
  3. หากหลังทำการรักษา มีผิวลอก ไม่ควรแกะหรือลอกผิว  ควรทาครีมบำรุงแทน
  4. หลังทำการรักษา ไม่ควรอาบน้ำร้อนจัดๆ เข้าห้องซาวน์น่า หรืออบไอน้ำ และ ไม่ควรออกกำลังกายหนักๆ
  5. ไม่ควรใช้ครีม หรือสารเคมีสำหรับลอกผิว หลังทำการรักษา
  6. ระมัดระวังไม่ให้ผิวบริเวณที่ทำการรักษา สัมผัสกับความร้อนโดยตรง เช่น การใช้ไดร์เป่าผม
  7. ไม่ควรทำการกำจัดขน ฉีดคอลลาเจน ในบริเวณที่ทำการรักษาอย่างน้อย 5 วัน
  8. หยุดใช้ยา Retin-A / Renova หลังการรักษา 7 วัน
  9. งดการอาบแดดอย่างน้อย 3 สัปดาห์หลังการรักษา

ข้อห้ามในการทำการรักษา

1. ผู้ที่มีความผิดปกติของผิวหนังในบริเวณที่ทำการรักษาโรคผิวหนังเรื้อรัง (Undiagnosed lesions)
2. ผู้ที่อยู่ในระยะแสดงอาการของโรคเริม (Herpes)
3. ผู้ที่เป็นหูดในบริเวณที่รับการรักษา (Wart)
4. ผิวคล้ำจากการสัมผัสแสงแดด (Sun burn)
5. ผู้ที่มีสิวอักเสบในระยะที่ 3 – 4
6. ผู้ที่เป็นผื่นแพ้ (Rosacea)
7. ผู้ที่เป็นเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมได้
8. ผู้ที่มีความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
9. ผู้ที่ตั้งครรภ์ (Pregnancy)
10.ในผู้ที่มีสีผิวคล้ำ (Hyper pigmentation)  ควรใช้ระดับแรงดันสูญญากาศต่ำๆ

ประโยชน์ของ Filler

 

 

 

ฟิลเลอร์ คืออะไร ?
ฟิลเลอร์ (Filler) หรือสารเติมเต็มที่ได้ อย. หรือ FDA ประเทศไทย คือสาร Hyaluronic Acidหรือ HA เป็นโพลีแซคคาไรด์ (Polysaccharide) ที่มีอยู่ในร่างกายอย่างผิวหนังและกระดูกอ่อน เมื่อผสมรวมกับน้ำจะขยายตัวอยู่ในรูปของเนื้อเจลซึ่งเป็นสารประกอบของคอลลาเจนที่มีอยู่แล้วในผิวหนัง คอลลาเจนนั้นเป็นโปรตีนสำคัญและเป็นส่วนประกอบหลักของผิวหนัง

ทำไมต้องเติมฟิลเลอร์ ?
คอลลาเจนเป็นส่วนที่เปรียบได้กับสปริงของผิวหนัง ช่วยสร้างความตึงให้กับผิวหนังชั้นหนังแท้ คอลลาเจนโปรตีนจะเสื่อมสภาพลงเมื่ออายุมากขึ้น พอสปริงไม่เด้งเหมือนเก่า ผิวหนังจึงยุบตัวลง เกิดเป็นริ้วรอย ร่องลึก ผิวหย่อนคล้อย และความชุ่มชื่นของผิวลดลง

เติมฟิลเลอร์แล้วมีผลอย่างไรบ้าง ?
การเติมฟิลเลอร์นั้นมีจุดประสงค์ในการเติมเต็มและปรับรูปหน้าได้หลายตำแหน่ง เช่น ปรับขนาดโหนกแก้มให้ใบหน้ามีมิติ ลดร่องแก้ม (Nasolabial Fold)ลดร่องใต้ตา(Tear trough)ลดริ้วรอยบริเวณแก้ม-ริมฝีปาก รอยเหี่ยวย่นหลังมือ ขมับบุ๋ม เติมคางให้ยาวขึ้น ดู V-shape ฉีดปรับรูปหน้าให้ดูเล็กลง ได้สัดส่วนที่ดีขึ้น ทำกรอบหน้าให้ชัดขึ้น ปรับหน้าที่แบนให้ดูมีมิติแสงเงา ง่ายต่อการแต่งหน้า และโหงวเห้งดีขึ้น

 

การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์

  1. ควรดื่มน้ำให้มากๆ เพราะจะช่วยให้ฟิลเลอร์คงสภาพได้นานขึ้น
  2. ไม่ควรใช้เครื่องสำอางเป็นเวลา 4 ชั่วโมงหลังการฉีด
  3. ไม่ควรออกกำลังกายใบหน้าในช่วง 48 ชั่วโมงแรกหลังการฉีด
  4. ไม่ควรถูหรือขัดหน้าแรงๆ บริเวณที่ฉีด
  5. ไม่ควรให้ใบหน้าสัมผัสกับความร้อนจัด เช่น การซาวน่า นวดหน้า ทำเลเซอร์ อย่างน้อย 2 สัปดาห์

 

สอบถามเพิ่มเติม : แผนกผิวหนังและเลเซอร์ 02-587-0144 ต่อ 2302

ประโยชน์ของ Botox

 

 

โบท็อกซ์ คืออะไร ?
โบท็อกซ์ (Botox) เป็นชื่อทางการค้าเนื่องจากเจ้าแรกที่ผลิตใช้ชื่อสินค้าว่า Botox แต่จริงๆแล้วคือตัวยาที่ชื่อว่า Botulinum Toxin type A ซึ่งเป็นโปรตีน ชนิดหนึ่ง ที่สร้างจาก แบคทีเรีย ชื่อ คลอสตริเดียม โบทูลินั่ม (Clostridium botulinum) ออกฤทธิ์โดยการไปจับกับส่วนปลายของเซลล์ประสาท ทำให้เซลล์ประสาท ไม่สามารถหลั่งสารสื่อประสาทได้ กล้ามเนื้อจึงคลายตัว โดยจะเริ่มออกฤทธิ์ภายใน 2-3 วัน และเห็นผลสูงสุดในเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ ยกเว้นกรามจะเห็นผลได้ชัดสุดในเวลา 1-2 เดือน

 

  • ประโยชน์และการนำมาใช้ ในทางการแพทย์แล้วสาร Botulinum Toxin มีคุณสมบัติในการคลายกล้ามเนื้อ จึงถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคหรือผู้ที่มีความผิดปกติของร่างกายได้หลายอย่าง เช่น ใช้ฉีดเพื่อรักษาผู้ที่มีอาการตาเหล่  ตาเข หรือตากระตุก  อาการโรคกล้ามเนื้อบิดเกร็ง  อาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่  รวมถึงอาการปวดศีรษะจากโรคไมเกรนเรื้อรังก็สามารถใช้โบท็อกซ์รักษาได้เช่นกัน   นอกจากนี้ยังมีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการนำสาร Botulinum Toxin มาใช้กับผู้ที่มีอาการของโรคลิ้นหัวใจพิการอีกด้วย

 

  • ลดเลือนริ้วรอยบนผิวหน้า อย่างที่กล่าวไปในข้างต้นแล้วว่าโบท็อกซ์นั้นนิยมนำมาใช้ฉีดเพื่อคลายกล้ามเนื้อที่หดเกร็งบนใบหน้า จากการแสดงสีหน้าอารมณ์ต่างๆที่ทำให้เกิดริ้วรอย ทำให้ริ้วรอยลดเลือนลง ผิวกลับมาเรียบตึงอีก  เช่น  ริ้วรอยบริเวณหน้าผาก  หางตา  หว่างคิ้ว รอยย่นจมูก คอ เป็นต้น  โดยแพทย์จะฉีดโบท็อกซ์ในปริมาณที่เหมาะสมในบริเวณที่ต้องการ  จากนั้นโบท็อกซ์จะทำปฏิกิริยากับกล้ามเนื้อและ จะเริ่มเห็นผลได้ภายใน 2-3 วัน และผลจะยิ่งเด่นชัดมากขึ้นเมื่อ 7-14 วันผ่านไป

 

  • แก้ไขรูปหน้าให้เรียว V-Shape ด้วยคุณสมบัติของโบท็อกซ์ จึงสามารถแก้ไขโครงสร้างใบหน้าที่แลดูเหลี่ยม อันเกิดจากกล้ามเนื้อที่อาจใหญ่อยู่เดิมหรือจากพฤติกรรมบางอย่างที่ไปกระตุ้นให้กล้ามเนื้อบริเวณนี้ใหญ่ขึ้น  เช่น  การนอนกัดฟัน  การเคี้ยวอาหารที่เหนียวบ่อยครั้งโบท๊อกซ์ที่ฉีดเข้าไปบริเวณดังกล่าวจะช่วยลดขนาดกล้ามเนื้อในบริเวณที่ฉีดให้เล็กลง  รูปหน้าที่ใหญ่และเป็นเหลี่ยมจะค่อยๆ เรียวเล็กลง  โครงหน้าได้รูป  V-shape

 

  • Lifting ช่วยยกกระชับ จัดรูปกรอบหน้า และลำตัวให้ชัดขึ้น

 

  • ปรับขนาดของน่องให้เรียวเล็ก สำหรับคุณผู้หญิงที่มีน่องใหญ่ สาเหตุเกิดจากกล้ามเนื้อ Medial Gastrocnemius  (กล้ามเนื้อบริเวณน่อง)  มีขนาดใหญ่อยู่เดิม เกิดจากการใช้งานกล้ามเนื้อบริเวณนั้นๆมาก Botox จะช่วยลดขนาดกล้ามเนื้อให้เล็กลง น่องดูเรียวขึ้น

 

  • แก้ปัญหากลิ่นรักแร้เหงื่อออกมาก กลิ่นเกิดจากเหงื่อที่รูขุมขนบริเวณรักแร้ขับออกมา เมื่อเกิดการหมักหมมและผสมรวมกับแบคทีเรียที่อยู่รอบตัวเรา  จึงทำให้เกิดกลิ่นฉุน  บั่นทอนบุคลิกภาพของเราให้ลดลงไปโบท็อกซ์ที่ฉีดเข้าไปที่รักแร้จะออกฤทธิ์ยับยั้งสารสื่อประสาท Acetylcholine ที่กระตุ้นการหลั่งของเหงื่อ  ช่วยลดการขับเหงื่อจากรักแร้ได้กว่า 80% เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้ฉีดโบท็อกซ์  ทั้งยังช่วยให้รูขุมขนบริเวณรักแร้เล็กลง  ผิวเรียบเนียนขึ้นได้

 

  •  รักษาอาการ Office Syndrome การนั่งทำงานการนั่งหน้าคอมพิวเตอร์หรือการแบกกระเป๋าหนักๆ ทำให้ปวดสะบัก การฉีด Botox จะช่วยให้หายปวด ไหล่และบ่าดูระหงษ์ขึ้น อยู่ได้นาน 6-8 เดือน ไม่ต้องทนอาการปวดอีกไม่ต้องเสียเวลาและเงินไปกับการนวดบ่อยๆ เป็นการแก้ไขจากที่ต้นเหตุ

 

การปฏิบัติตัวหลังการฉีด Botulinum Toxin Type A และ Type B

  • สามารถใช้น้ำแข็งประคบในกรณีที่มีอาการบวมแดงหรือช้ำได้
  • ผู้ป่วยจะเริ่มเห็นผลการรักษาใน 2-7 วัน และเห็นผลการรักษาสูงสุดในสองสัปดาห์
  • ห้ามนอนราบ 4 ชั่วโมงหลังการฉีด
  • งดทำหน้านวดหน้าเป็นเวลา 2 สัปดาห์
  • งดออกกำลังกายหนักๆ งดการโดนความร้อนจัด เช่น การแช่บ่อน้ำร้อน,โยคะร้อน สามารถอาบน้ำและล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นได้
  • งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอลฮอลล์ อย่างน้อย 24 ชั่วโมง
  • กลับมาพบแพทย์เมื่อมีข้อสงสัยหรือสิ่งผิดปกติใดๆ

 

สอบถามเพิ่มเติม :
คลินิกผิวหนังและคอสเมติก ชั้น 3 อาคาร 2 โรงพยาบาลบางโพ
02-587-0144 ต่อ 2302

 

 

 

 

 

ทำจมูกทั้งทีซิลิโคนประเทศไหนดี

 

ซิลิโคนที่ใช้ในการศัลยกรรมจมูก แบ่งออกได้ 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ

    1. ซิลิโคนสำเร็จรูป  เป็นซิลิโคนที่ขึ้นรูปร่างมาสำเร็จพร้อมที่จะใส่ให้กับผู้ใช้บริการ  ถูกกำหนดให้มีความกว้างและยาวที่แตกต่างกัน ก่อนทำการเสริมจมูกแพทย์จะปรับแต่งซิลิโคนเล็กน้อยเพื่อให้ได้รูปทรงที่เหมาะสมกับโครงจมูกแต่ละคน

ข้อดีของซิลิโคนสำเร็จรูป คือ ได้รูปทรงที่แน่นอน โอกาสเอียงมีน้อยมาก และมีให้เลือกหลายเกรด ความแข็ง-นิ่มมีหลายระดับ ช่วยประหยัดเวลาในการผ่าตัด

   2. ซิลิโคนแบบเหลาเอง ซิลิโคนมีลักษณะเป็นแผ่นใหญ่ แพทย์จะทำการเหลาซิลิโคนเองให้เหมาะกับทรงจมูกของแต่ละคน ข้อดีคือสามารถเหลาปรับรูปทรงให้เหมาะสมกับโครงจมูกของแต่ละคนได้ ออกแบบรูปทรงจมูกได้ดี

ตามความต้องการของแต่ละบุคคล แต่จะมีความยุ่งยากในการเหลาให้ได้รูปทรง ใช้ระยะเวลานาน ถ้าเหลาซิลิโคนไม่ดีก็จะทำให้มีโอกาสเอียงได้

 

 

 

ญี่ปุ่น เป็นซิลิโคนมาตรฐานธรรมดา โดยนำเข้าวัตถุดิบมาจากประเทศญี่ปุ่น

ดำเนินการผลิตในประเทศไทย เป็นซิลิโคนมีสีเหลืองอ่อน เนื้อซิลิโคนค่อนข้างแข็ง

อาจจะเสี่ยงทะลุได้ สำหรับผู้ที่มีเนื้อจมูกน้อยไม่ควรใช้ซิลิโคนชนิดนี้

 

 

 

 

 

 

 

 

เกาหลี เป็นซิลิโคนสำเร็จรูป มาตรฐานพิเศษคุณภาพดี มีจุดเด่นตรงที่ช่วงโคนจมูก

และปลายจมูกมีความนิ่มมาก มีความยืดหยุ่นตัวสูง ไม่มีโอกาสจะทะลุและเอียงได้เลย

เนื่องจากมีความนิ่มมากความคงรูปของทรงจมูกก็อาจทำได้ไม่ดีมากนักเมื่อเสริมไปในระยะเวลานานๆ

 

 

 

 

 

 

สหรัฐอเมริกา เป็นซิลิโคนมาตรฐานพิเศษ มีความบริสุทธิ์ มีความปลอดภัยและคุณภาพดี (Medical Grade Silicone)

ซิลิโคนมีสีขาว เนื้อนิ่ม เนียน ละเอียดมาก และมีความยืดหยุ่นได้ดี ดังนั้นจึงมีความนิยมเลือกใช้กันมากที่สุด

เนื่องจากเนื้อของซิลิโคนมีความนิ่มปานกลาง และไม่นิ่มจนเกินไป สามารถเหลาปรับแต่งรูปทรงได้ตามต้องการได้ดี

เหมาะสำหรับผู้ที่มีเนื้อบริเวณของสันจมูกค่อนข้างมาก หรือคนที่มีโครงจมูกที่ยาว หลังจากเสริมจมูกด้วยซิลิโคนของประเทศอเมริกาแล้ว

นอกจากจะทำให้ จมูกดูโด่งสวยเนียน และยังไม่มีโอกาสที่จะยุบตัวลง เมื่อเสริมไปนาน ๆ อีกด้วย