โรคตาแห้ง "โรคตายอดฮิตของคนหน้าคอมฯ"

Dry eye
โรคตาแห้ง "โรคตายอดฮิตของคนหน้าคอมฯ"
จากสภาวะการใช้ชีวิตของคนทำงานยุคปัจจุบัน ที่ใช้คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต มือถือ รวมถึงการใส่คอนแทคเลนส์ในการทำงานประจำวัน และต้องเจอสภาพอากาศแห้ง แปรเปลี่ยนไปมาอย่างรวดเร็ว ทั้งการปะทะลมหรือแสงแดดเป็นประจำ รวมถึงการนอนพักผ่อนไม่เพียงพอ อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดผลกระทบจนเกิดอาการตาแห้ง
สาเหตุของโรคตาแห้ง
โรคตาแห้ง สามารถแบ่งสาเหตุได้ดังนี้ คือ
  1. การผลิตน้ำตาลดลง สาเหตุมาจากอายุที่มากขึ้น เกิดการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกายหรือภาวะความเจ็บป่วยบางอย่าง เช่น โรคภูมิแพ้ที่ตา โรคโชเกร็น (Sjogren's syndrome) โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis) โรคลูปัส (Systemic Lupus Erythematosus: SLE) โรคของต่อมไทรอยด์ การขาดวิตามิน การใช้ยาบางประเภท เช่น ยาลดความดันโลหิต ยารักษาสิว ยาคุมกำเนิด ยารักษาโรคพาร์กินสัน หลังผ่าตัดดวงตา เช่น หลังการผ่าตัดต้อกระจก หรือหลังทำ เลสิก การใส่คอนแทคเลนส์เป็นเวลานาน หรือเคยทำเลสิก
  2. น้ำตาเกิดการระเหยไว จากต่อมไขมันที่เปลือกตาทำงานผิดปกติ(Meibomian gland dysfunction: MGD)โดยปกติต่อมไมโบเมียนจะทำหน้าที่สร้างน้ำตาชั้นไขมัน ทำให้น้ำตาระเหยได้ช้า หากต่อมนี้ทำงานผิดปกติ จะทำให้น้ำตาระเหยไวขึ้น จะเกิดภาวะตาแห้งในที่สุด รวมถึงการใช้สายตาระยะใกล้ ทั้งทำงานนั่งจอคอมพิวเตอร์เวลานานหรือการอ่านหนังสือต่อเนื่อง
  3. ปัจจัยภายในตัวบุคคล เช่น

    • เพศ โดยพบว่าเพศหญิงเป็นมากกว่าเพศชาย
    • อายุ ที่พบว่าเมื่อเข้าสู่อายุ 65 ปีขึ้นไป มีอัตราการเกิดโรคตาแห้งสูงกว่าวัยอื่น
อาการ
ผู้ป่วยจะรู้สึกระคายเคืองตา เหมือนมีเศษผงอยู่ในดวงตา แสบตาง่าย โดยเฉพาะเมื่อมีลมพัดเข้าสู่ดวงตา หรือเมื่ออยู่ในห้องแอร์ จะรู้สึกได้ว่า ดวงตาแห้งอยู่ตลอด
วิธีป้องกันโรคตาแห้ง
สำหรับคนที่ทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ ควรพักสายตาทุก 1-2 ชั่วโมง พักประมาณ 5 นาที โดยการหลับตาหรือมองไปที่ไกลๆ เพิ่มเติมด้วยการติดแผ่นกรองแสงที่หน้าจอ หรือสวมแว่นตา ที่ช่วยลดแสงสีฟ้า ช่วยถนอมสายตา
การตรวจวิเคราะห์
  1. แพทย์จะตรวจวัดปริมาณน้ำตาโดยการตรวจ Tear Meniscus ตรวจลักษณะขอบเปลือกตา และต่อมมัยโบเมียน (Meibomian gland) เพื่อการวัดความเข้มข้นของสารที่อยู่ในน้ำตา
  2. การค้นหาสาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงของโรค เพื่อการควบคุมอาการของโรคทำให้การรักษาประสบความสำเร็จสูงขึ้นได้ เช่น

    • พักสายตาเป็นช่วงๆ โดยหลับตา 1-2 นาที หรือกระพริบตาถี่ๆ เพื่อช่วยกระจายน้ำตาให้เคลือบทั่วดวงตา
    • หยอดน้ำตาเทียมเป็นประจำ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ดวงตา หลีกเลี่ยงการโดนลมแรงๆ ปะทะดวงตาโดยตรง เช่น ลมจากพัดลม เครื่องปรับอากาศ ที่เป่าผม ควรสวมแว่นกันแดดหรือแว่นที่ครอบดวงตา
    • หากต้องอยู่ในบริเวณที่มีอากาศแห้ง ควรหลับตาเป็นพักๆ เพื่อลดการระเหยของน้ำตา
    • ดื่มน้ำให้มาก รับประทานอาหารที่มีปริมาณวิตามินเอสูง เช่น น้ำมันตับปลา เครื่องในสัตว์ ไข่แดง แครอท บรอคโคลี่ ฟักทอง หรือกรดไขมันโอเมก้า3สูง เช่น ปลาทะเลน้ำลึก เมล็ดแฟลกซ์ วอลนัท น้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำข้าว เพื่อช่วยดูแลและบำรุงสายตา
การรักษา
  1. แพทย์จะช่วยให้คำปรึกษา ปรับพฤติกรรมการใช้สายตาให้เหมาะสม ร่วมกันการใช้น้ำตาเทียมหยอดตา
  2. ใช้แว่นกอกเกิลส์ เพื่อป้องกันการระเหยของน้ำตาร่วมด้วย โดยเฉพาะในผู้ที่อยู่กับลมแรง เช่น คนที่ทำงานขับขี่มอเตอร์ไซด์
  3. หากรู้สึกมีความผิดปกติที่ตา มีอาการแสบตา ตาแห้ง รู้สึกไม่สบายตา น้ำตาไหล ระคายเคืองตา มีเมือกในตา หรือตาพร่ามัว ให้สงสัยว่าอาจมีภาวะตาแห้ง แนะนำให้ลองปฏิบัติตัวตามคำแนะนำเบื้องตน
  4. หากมีอาการที่รุนแรงแนะนำให้พบจักษุแพทย์ เพื่อเข้ารับการรักษาและการตรวจวินิจฉัยอย่างปลอดภัย