โรคยอดฮิตในเด็กที่มาพร้อมหน้าหนาว

โรคยอดฮิตในเด็กที่มาพร้อมหน้าหนาว

1. ไข้หวัด

  1. พบได้ทุกฤดู แต่ฤดูหนาวจะเป็นได้ง่ายและบ่อยขึ้นกว่า 2 เท่า
  2. ส่วนมากเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ติดต่อจากการสูดละอองฝอยจากการไอจาม
  3. อาการ ไอ จาม น้ำมูกใส คัดจมูก ไข้ต่ำ ปวดเมื่อยตามตัว
  4. รักษา นอนพักผ่อนมากๆ ดื่มน้ำบ่อยๆ กินยาตามอาการ สวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ
  5. ป้องกัน ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ ล้างมือบ่อยๆ ไม่คลุกคลีกับผู้ป่วย
2. ไข้หวัดใหญ่

  1. เกิดจากการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่
  2. อาการเหมือนไข้หวัดแต่รุนแรงกว่า ได้แก่ ไข้สูง ปวดเมื่อยตามตัว ปวดศีรษะรุนแรง ไอ น้ำมูก เจ็บคอ อาเจียน ถ่ายเหลว
  3. รักษา ควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจและรับยาฆ่าเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ กินยาตามอาการ เช็ดตัวลดไข้ นอนพักผ่อนมากๆ
  4. ป้องกัน กลุ่มที่มีความเสี่ยง ได้แก่ เด็กเล็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคเรื้อรัง ควรได้รับวัคซีนไข้หวัด ใหญ่ทุกปี ไม่คลุกคลีหรือใช้ของใช้ร่วมกับผู้ป่วย ล้างมือบ่อยๆ ออกกำลังกายให้ร่างกายแข็งแรง
3. โรคปอดบวม

  1. เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัสที่ถุงลมปอด จนเกิดการอักเสบเป็นหนอง
  2. อาการ ไข้สูง ไอมีเสมหะมาก หอบเหนื่อย แน่นหน้าอก มักเกิดหลังไข้หวัดเรื้อรัง หรือในผู้ที่เป็นโรคหอบหืด
  3. รักษา ควรพบแพทย์เพื่อรับยาฆ่าเชื้อที่เหมาะสม ให้สารน้ำที่เพียงพอ ให้ยาตามอาการ เช็ดตัวลดไข้ อาจพ่นยาขยายหลอดลมเพื่อบรรเทาอาการ
  4. ป้องกัน  เมื่อเริ่มเป็นไข้หวัดให้รีบรักษา ดื่มน้ำมากๆ  ในเด็กเล็กและผู้สูงอายุควรได้รับวัคซีนป้องกันปอดบวม ผู้ที่เป็นโรคหอบหืดควรใช้ยาควบคุมอาการสม่ำเสมอตามแพทย์สั่ง
4. โรคหัด

  1. เกิดจากการติดเชื้อไวรัสหัด มักพบมากในเด็กเล็กและเด็กวัยเรียน
  2. อาการคล้ายไข้หวัด คือมีไข้ น้ำมูกไหล ตาแดง ไอแห้งๆ หลังมีไข้3-4วัน มีผื่นแดงขั้นที่หลังใบหู ใบหน้า ลาม มายังลำตัว แขนขา อาจพบตุ่มที่กระพุ้งแก้มและฟันกราม หลังผื่นขึ้น2-3วันไข้จะเริ่มลง แต่ต้องระวังอาการแทรกซ้อนที่สำคัญ เช่น หูชั้นกลางอักสบ ปอดบวม สมองอักเสบ ถ่ายเหลว
  3. รักษา กินยาลดไข้ รักษาตามอาการ ไปพบแพทย์ตามนัด
  4. ป้องกัน  เด็กควรได้รับวัคซีน หัด-หัดเยอรมัน-คางทูม ตามเกณฑ์ที่กำหนด เนื่องจากเชื้อสามารถติดได้ง่าย
  5. ทางการหายใจ ควรหลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับผู้ป่วยและหลีกเลี่ยงการไปในที่มีคนพลุกพล่าน หมั่นล้างมือบ่อยๆ
5. โรคอีสุกอีใส

  1. เกิดจากการติดเชื้อไวรัสอีสุกอีใส มักพบในเด็กเล็กและเด็กวัยเรียน  ติดต่อทางการสัมผัสตุ่มน้ำโดยตรงหรือทางการหายใจ
  2. อาการ มีไข้ ปวดเมื่อยตามตัว มีผื่นแดงขึ้นทีใบหน้าและลำตัว ต่อมาเป็นตุ่มน้ำใส อาจเป็นตุ่มหนอง แตกและตกสะเก็ด ใช้เวลารวม 7-10 วัน
  3. รักษา รักษาตามอาการ กินยาลดไข้ งดการแกะเกาตุ่มเพื่อไม่ให้เกิดการอักเสบ ส่วนมากไม่จำเป็นต้องมาพบแพทย์ยกเว้นมีอาการแทรกซ้อน เช่น ปอดบวม
  4. ป้องกัน ในผู้ที่ไม่เคยเป็นมาก่อนควรได้รับวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส ซึ่งสามารถฉีดได้ในเด็กอายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป
6. โรคอุจจาระร่วง

  1. โรคอุจจาระร่วงในฤดูหนาวมักเกิดจากการติดเชื้อไวรัส เช่น โรต้าไวรัส มักพบในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี
  2. อาการ ถ่ายเหลว ก้นแดง อาเจียน กินได้น้อย ไข้สูง อ่อนเพลีย
  3. รักษา ให้จิบน้ำเกลือแร่เพื่อทดแทนการเสียน้ำ เปลี่ยนอาหารและนมให้ไม่มีส่วนผสมของน้ำตาลแลดโตส หากกินไม่ได้และมีอาการขาดน้ำ เช่น ปากแห้ง ตาโหล กระหายน้ำ ปัสสาวะน้อยลง ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อให้สารน้ำทางหลอดเลือด
  4. ป้องกัน หมั่นล้างมือบ่อยๆด้วยน้ำและสบู่ทุกครั้งก่อนรับประทานอาหาร ทำความสะอาดสถานที่และของเล่นบ่อยๆ ในเด็กก่อนอายุ 4 เดือนมีวัคซีนป้องกันไวรัสโรต้าชนิดหยอดซึ่งลดโอกาสการเกิดโรคอุจาระร่วงรุนแรงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โปรแกรมและแพ็คเกจ

วัคซีนปัองกันโรคมือ เท้า ปาก (EV71)

วัคซีนป้องกันโรคมือเ […]

มะเร็งปากมดลูก สำหรับเด็ก

วัคซีนมะเร็งปากมดลูก […]

การออกกำลังกายบริหารสมอง

สมอง หากไม่ได้รับการดูแลก็จะทำให้เกิดการเสื่อมถอย จึงจำเป็นจะต้องมีการพัฒนา บริหาร และกระตุ้นให้อวัยวะส่วนสำคัญต่างๆทำงานได้อย่างต่อเนื่อง

 #โรงพยาบาลบางโพ #การบริหารสมอง #สมอง #อัลไซเมอร์ #สุขภาพ #การออกกำลังกาย #กายภาพบำบัด #ร่างกาย 

 

สอบถามเพิ่มเติม : แผนกเวชศาสตร์ฟื้นฟู 02-587-0144 ต่อ 2421 

เอกซเรย์ฟันพานอรามิก

 

 

เอกซเรย์ฟันพานอรามิก 800 บาท

(ไม่รวมค่าบริการ)

สอบถามเพิ่มเติมและนัดหมายล่วงหน้าที่
คลินิกทันตกรรม อาคาร 2 ชั้น 3
โทรศัพท์ 0-2587-0144 ต่อ   2331

ทีมทันตแพทย์ทุกสาขา มาตรฐานโรงพยาบาล ราคาคลินิก

เนียนนุ่ม ชุ่มชื่น คุณสัมผัสได้ในครั้งแรก Diamond Peel&Infusion

เนียนนุ่ม ชุ่มชื่น คุณสัมผัสได้ในครั้งแรก
ด้วยการผสานการทำงานของ 2 เทคโนโลยี
เพื่อปรนนิบัติผิวหน้า 

ซื้อ 1  รับเพิ่มอีก 1  ในราคาพิเศษ  3,000  บาท (ปกติ 6,000 บาท)

การผสานการทำงานของ 2 เทคโนโลยีเพื่อปรนนิบัติผิว

  • Diamond Peel  เป็นการผลัดเซลล์ผิวชั้นหนังกำพร้าได้อย่างล้ำลึก โดยอาศัยการทำงานของหัวขัดผิวคริสตัลชนิด Diamond ทำให้การผลัดเซลล์ผิวหนังและสิ่งอุดตันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นุ่มนวล กระตุ้นให้ผิวแข็งแรง สร้างเซลล์ผิวใหม่ ทำให้ผิวเรียบเนียนและลดรอยดำจากสิว
  • Infusion เป็นการผลักวิตามินบำรุงลึกสู่ระดับเซลล์ผิว โดยใช้กระแสไฟฟ้า (IONWAVE) ด้วยประสิทธิภาพที่สูงกว่า การทำไอออนโต หรือ โฟโนโฟรีซิส เพราะสามารถผลักวิตามินแทรกซึมสู่ใต้ผิวหนังชั้ันในได้ลึกกว่าและในปริมาณที่มากกว่า ทำให้รูขุมขนกระชับ ผิวกระจ่างใส ลดผิวหมองคล้ำ

 

ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาประเทศสหรัฐอเมริกา (US FDA)และประเทศไทย (THAI FDA)

  • ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสำหรับการรักษาทั้งผิวหน้าและผิวกาย
  • เป็นการรักษาที่ไม่เจ็บและไม่มีผลข้างเคียง
  • เป็นการรักษาที่สะอาดและไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือแพ้ เห็นผลการรักษาตั้้งแต่ครั้งแรก

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม
Infusion กระชับผิวหน้าและผิวกาย วิตามินแทรกซึมสู่ใต้ผิวหนังชั้ันใน

 

 

สอบถามเพิ่มเติม
คลินิกผิวหนังและคอสเมติด โรงพยาบาลบางโพ  ชั้น  3  อาคาร 2
โทร. 02 587 0144  ต่อ  2302

เหตุผลที่คุณต้องตรวจสุขภาพ

เหตุผลที่คุณต้องตรวจสุขภาพ

ปัจจุบันการดำเนินชีวิตของคนในสังคม ต้องทำงานแข่งกับเวลาอย่างเร่งรีบ และอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีมลภาวะเป็นพิษ จึงมีพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อสุขภาพเช่น การขาดการออกกำลังกาย การไม่ตระหนักในการรับประทานอาหาร รวมถึงมลภาวะทางจิตใจ ขาดความสมดุลของชีวิต ทำให้เกิดความเคยชิน จนกลายเป็นภัยคุกคามสุขภาพได้
การตรวจสุขภาพประจำปีจึงมีความจำเป็นเพื่อสำรวจว่าระบบต่างๆ ในร่างกายเรามีความผิดปกติหรือมีความบกพร่องที่อัวยวะใดเพื่อจะได้รักษา ป้องกันหรือผ่อนหนักให้เป็นเบา หากมีการดูแลอย่างดีตรวจสอบหาข้อบกพร่อง และแก้ไขแต่ระยะต้นๆ ร่างกายก็จะอยู่กับเราได้นานขึ้นและมีคุณภาพชีวิตที่ดี

ต้องตรวจเมื่อไหร่ ตรวจอะไรบ้าง มีประโยชน์อย่างไร
การตรวจสุขภาพนั้นต้องตรวจทุกๆ ปีเพราะระบบการทำงานของร่างกายบางอย่างเสื่อมลงตามอายุที่เพิ่มขึ้นเช่น ระบบประสาทและสมอง ระบบย่อยอาหาร ความเสื่อมของกระดูก สายตา ผิวหนัง เป็นต้น
การตรวจสุขภาพที่ดีต้องเหมาะสมกับเพศ อายุ และความเสี่ยงนั้น โดยปกติจะมีการจัดเป็นกลุ่มอายุ เพศ ในชุดแพคเกจ ทำให้ราคาประหยัด ดังนั้นควรเลือกให้เหมาะกับตัวเอง โดยมีรายละเอียดดังนี้
  1. การชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง เป็นการประเมินภาวะโรคอ้วน ซึ่งโรคอ้วนเป็นพื้นฐานของโรคอื่นๆ เช่น โรคความดันโลหิต โรคเบาหวาน โรคซึมเศร้า โรคหัวใจ
  2. การวัดความดันโลหิต เพื่อดูเสี่ยง โรคความดันโลหิต โรคหัวใจ โรคไต โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ และอัมพาต
  3. การเอกซเรย์ทรวงอก Chest-x-ray เพื่อดูว่ามีก้อนหรือจุดผิดปกติในปอดหรือไม่ และดูขนาดของหัวใจ สำหรับคนที่เป็นวัณโรค มะเร็ง หรือหัวใจผิดปกติ อาจจะไม่สามารถตรวจพบอาการผิดปกติได้จากภายนอก จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องอาศัยเครื่องมือตรวจพิเศษโดยการเอกซเรย์ปอด หรือทรวงอก ซึ่งจะปรากฏอาการผิดปกติทางฟิล์มเอกซเรย์ ทำให้แพทย์สามารถสามารถวินิจฉัยโรคและหาทางบาบัดรักษาอย่างถูกวิธีต่อไป สำหรับมะเร็งปอด การตรวจเอ็กซเรย์ปอดบางครั้งก็ไม่สามารถบอกได้อย่างละเอียด
  4. การเจาะเลือดเพื่อตรวจค่าต่างๆ เช่น
    • ความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด Complete Blood Count (CBC) คือ การตรวจปริมาณ และรูปร่างของเม็ดเลือดแดง เพื่อบ่งชี้ภาวะของโลหิตจางและการตรวจนับเม็ดเลือดขาว เพื่อดูการติดเชื้อและภูมิต้านทานของร่างกาย
    • การตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด Glucose เพื่อทำการคัดกรองกลุ่มที่เสี่ยงโรคเบาหวานและประเมินการควบคุมระดับน้ำตาลของผู้ป่วยเบาหวาน
    • การตรวจระดับน้ำตาลสะสมในเลือด Hemoglobin A1C การตรวจระดับน้ำตาลสะสมในเลือดของเดือนที่ผ่านมาเพื่อคัดกรองโรคเบาหวานและประเมินการควบคุมระดับน้ำตาลของผู้ป่วยเบาหวาน
    • การตรวจวัดระดับไขมันในเลือด Total Cholesterol เป็นการตรวจวัดระดับไขมันในเลือดอย่างสมบูรณ์ของระดับคอเลสเตอรอลในเลือดซึ่งเป็นปัจจัยที่มีความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคเส้นเลือดสมองและโรคความดันโลหิตสูง
      • HDL-Cholesterol ไขมันชนิดดีทำหน้าที่ป้องกัน LDL และ Cholesterol ไปสะสมที่เส้นเลือด
      • LDL-Cholesterol ไขมันชนิดไม่ดีทำหน้าที่ควบคุมระดับไขมันในเลือดเพื่อป้องกันการเกิดเส้นเลือดหัวใจตีบ
      • Triglyceride ไตรกลีเซอไรด์ได้จากการสังเคราะห์ที่ตับ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ไตรกลีเซอไรด์สูงได้แก่ การไม่ออกกำลังกาย น้ำหนักตัวที่เกินมาตรฐาน การรับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป
    • การตรวจวัดระดับยูริกในเลือด Uric Acid ระดับยูริกในเลือดที่สูงกว่ามาตรฐาน สาเหตุของโรคเก๊าท์ โรคนิ่วในไต
    • การตรวจการทำงานของไต Blood Urea Nitrogen (BUN) วัดระดับปริมาณของเสีย Creatinine ที่ร่างกาย ปกติจะสามารถขับออกไปได้ หากมีโรคไตจะมี Creatintine สูง
    • การตรวจการทำงานของตับ SGOT เป็นเอนไซม์ที่พบในตับ ไต กล้ามเนื้อ หัวใจ SGPT เป็นเอนไซม์ที่พบมากในตับ พบน้อยในกล้ามเนื้อ หัวใจ ตับอ่อน เมื่อตับเกิดโรค มีการทำลายหรือการอักเสบของตับ จะทำให้มีการหลั่งเอนไซม์ SGOT, SGPT ออกมาสู่กระแสเลือดมากขึ้น ทำให้ตรวจพบมีระดับสูงขึ้นกว่า
    • การตรวจหาไวรัสตับอักเสบบี ปัจจุบันพบว่ามีประชาชนจานวนมากที่เป็นโรคไวรัสตับอักเสบบี โรคนี้สามารถนาไปสู่มะเร็งตับได้ คนที่มีภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบนี้จะมีโอกาสเป็นได้ยากกว่าผู้ที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันการตรวจหาภูมิคุ้มกันดังกล่าวด้วยการตรวจ HbsAG และ HbsAB หากไม่พบภูมิคุ้มกัน ท่านก็สมควรฉีดวัคซีนป้องกันเพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบขึ้นมา
    • การตรวจหาสารบ่งชี้มะเร็ง เป็นการตรวจเพื่อคัดกรองมะเร็งตับ ที่สะสมอยู่ในเลือด
  5. การตรวจปัสสาวะ Urine Examination ตรวจเพื่อดูการทำงานของไตและระบบทางเดินปัสสาวะ เริ่มตั้งแต่การตรวจสี ความใส ความเป็นกรด-ด่าง และการตรวจหาสารต่างๆที่จะปนมาในปัสสาวะ เป็นการตรวจหาไข่ขาว เม็ดเลือดและน้าตาล ซึ่งอาจพบการอักเสบของทางเดินปัสสาวะ โรคนิ่ว โรคเบาหวาน โรคตับและโรคไต เช่น ถ้ามีน้าตาลในปัสสาวะ แสดงว่าผู้ป่วยอาจเป็นเบาหวาน หากพบเม็ดเลือดแดง อาจแสดงว่ามีนิ่วของระบบทางเดินปัสสาวะ หากพบเม็ดเลือดขาวอาจแสดงว่า อาจมีอาการของโรคไตอักเสบ หรือการติดเชื้อ
  6. การตรวจอุจจาระ Stool Occult Blood การตรวจคัดกรองการเกิดมะเร็งลำไส้ มีส่วนช่วยในการวินิจฉัยมะเร็งลำไส้ตั้งแต่ระยะแรก หากพบว่ามีเลือดปนใน อุจจาระต้องทำการตรวจเพิ่มเติมโดยการส่องกล้องเพื่อตรวจทางเดินอาหารโดยละเอียด

การเตรียมตัวก่อนตรวจสุขภาพอย่างไร
  • งดอาหารก่อนมารับการตรวจสุขภาพ 8 - 10 ชั่วโมง (น้ำเปล่าและยาประจำตัว สามารถรับประทานได้)
  • ควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก่อนมารับการตรวจ 24 - 48 ชั่วโมง
  • ควรพักผ่อนให้เพียงพอ ก่อนมารับการตรวจสุขภาพ
  • หากสงสัยว่าตั้งครรภ์กรุณาแจ้งพยาบาล ก่อนรับการตรวจ
  • ไม่ควรสูบบุหรี่ ก่อนมารับการตรวจสุขภาพ เพราะจะทำให้ความดันโลหิตสูงเกินจากปกติ
  • หากรับประทานยาประจำ หรืออาหารเสริมบางชนิดอยู่ ควรแจ้ง แพทย์ก่อนตรวจสุขภาพ เพราะยาและอาหารเสริมบางชนิด มีผลต่อผลการตรวจเลือด ผลการตรวจปัสสาวะ หรือ ผลการตรวจอุจจาระ

โปรแกรมและแพ็คเกจ

คัดกรองมะเร็งเต้านม

มะเร็งเต้านม ภัยร้าย […]

ตรวจสุขภาพ

ตรวจ 4 รายการ : 999. […]

ภาพบรรยากาศ ONE DAY CAMP “ภารกิจ พิชิตเบาหวาน”

 

กิจกรรมลงทะเบียน

 

 

 

 

 

พิธีเปิด

 

 

การบรรยายในหัวข้อ “การดูแลโรคเบาหวาน” โดยนายแพทย์ก้องเกียรติ  เลิศพิพัฒน์มงคล

 

WorkShop   จากทีมสหวิชาชีพ โรคเบาหวาน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

การแจกรางวัลท้ายกิจกรรมและพิธีปิด

 

 

โรคทางระบบประสาทและสมอง

โรคทางระบบประสาทและสมอง

Brain 01

  สมองเป็นหนึ่งในอวัยวะมหัศจรรย์ มีความสลับซับซ้อนในการทำงาน เซลล์สมองมีความจำเพาะและเปราะบาง มีมากมายเป็นพันๆล้านเซลล์ สมองทำให้เรามีความสามารถที่จะพูด คิด แก้ปัญหา จำ สั่งการการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ ควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจ การหายใจ ทำหน้าที่แทบทุกอย่างที่คนเราทำ การดูแลรักษาให้สมองทำงานเป็นปกติ จึงเป็นสิ่งสำคัญ

โรค อัมพฤกษ์ อัมพาต โรคหลอดเลือดสมอง

อาการ ปากเบี้ยว พูดไม่ออก พูดไม่ชัด แขนชาไม่มีแรง เซ

โรคปวดศีรษะ

อาการ ปวดศีรษะอย่างรุนแรง และเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน ความรุนแรงตลอด 24 ชั่วโมง ปวดศีรษะจากการได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ และมีอาการ คลื่นไส้ ตาพร่า กล้ามเนื้ออ่อนแรง ปวดศีรษะเมื่อ ไอ จาม หรือมีการก้มตัว หรือ เบ่งอุจจาระ ปวดศีรษะเฉียบพลันในผู้ป่วยเบาหวาน โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง

โรคอัลไซเมอร์

อาการ หลงลืม ลืมปิดประตู ลืมปิดไฟ จำสิ่งที่เคยทำไม่ได้ มีปัญหาด้าน ภาษา สับสนเรื่องเวลาและสถานที่ สติปัญญาลดลง อารมณ์เปลี่ยนแปลง                                                                                                                                                                               อาการ ปวดต้นคอ ร้าวลงแขน แขนขา 2 ข้างอ่อนแรง เดินลำบาก ปัสสาวะไม่ออก ท้องผูก

เส้นประสาทถูกกดทับ บริเวณหลัง

อาการ ปวดหลัง ร้าวลงขา ข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้ง 2 ข้าง ขาไม่มีแรง

เส้นประสาทถูกกดทับ บริเวณข้อมือ

อาการ ชาเป็นเหน็บ แสบร้อนบริเวณฝ่ามือ นิ้วชี้ นิ้วกลาง ด้านหน้าหรือด้าน หลังผ่ามือ มักจะเกิดตอนกลางคืนในขณะหลับ ปวดอาจจะร้าวไปถึงข้อศอกกล้ามเนื้อบริเวณโคนนิ้วหัวแม่มือฝ่อไม่มีแรงกำ

ปลายประสาทอักเสบ จากโรคเบาหวานหรือแอลกอฮอล์พิษจากเหล้าหรือโลหะหนัก

อาการ ชาปลายเท้า อ่อนแรง ปวดแสบปวดร้อนปลายเท้า

ภาวะน้ำคั่งในสมอง

อาการ ความจำเปลี่ยนแปลง ก้าวเดินผิดพลาด กลั้นปัสสาวะไม่ได้ (ควรจะนำผู้ป่วยมาพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสมอง)

 

เครื่องมือที่ช่วยในการวินิจฉัยโรคทางสมอง

• เครื่องตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง EEG (Electroencephalography)

• การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมองขั้นสูงสำหรับโรคลมชัก
เครื่องสร้างภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI)
• การตรวจหลอดเลือดด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRA, MRV)

• เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ความเร็วสูง (Multislice CT)• การตรวจหลอดเลือดสมองด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CTA Brain)
• เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สามมิติ (3D CT)

ตรวจเช็คสมองเฉพาะด้านโรคระบบประสาทและสมอง

สอบถามเพิ่มเติม  อายุรกรรมระบบประสาทและสมอง

โทรศัพท์ 02-587-0144 ต่อ 2200

ติดตามข่าวสารของเราได้ที่ : facebook.com/BangpoHospital

10 สิ่ง ที่คนตั้งครรภ์ ต้องห้ามทำ

10 สิ่ง ที่คนตั้งครรภ์ ต้องห้ามทำ

1. งด เพศสัมพันธ์
ช่วง ท้องอ่อนๆ หรือ 3เดือน แรกและช่วงใกล้คลอดหรือ 3 เดือน ท้ายของการตั้งครรภ์ เพื่อไม่ให้เกิดภาวะแท้งในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ และเพื่อไม่ให้เกิดการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดช่วงท้ายของการตั้งครรภ์
2. งดกินยา ที่มีส่วนผสมของ Vitamin A
Formของวิตามิน เอ ที่เราต้องระวังคือ Isotretinoin และ Etretinate เพราะเป็นสารที่จัดอยู่ในหมวดหมู่ X นั่นคือ ยาทำให้เกิดความผิดปกติของตัวอ่อนในครรภ์ได้ ได้แก่ หูหนวก ตาบอด ไม่มีรูเปิดทวาร น้ำคั่งในโพรงสมอง โดยisotretinoin มักอยู่ในสูตรยา ของการรักษาสิว เพราะฉะนั้นหากตั้งครรภ์ควรแจ้งแพทย์เมื่อไปรับการรักษาสิว และควรหยุดยาหากวางแผนจะตั้งครรภ์ส่วน Etretinate จะเป็นส่วนผสมของยาที่ใช้รักษาโรค Psoriasis หรือสะเก็ดเงิน หากใช้ยาตัวนี้อยู่ควรหยุดยาอย่างน้อย 2 ปีก่อนตั้งครรภ์
3. งดการสัมผัสกับ คนที่มีโรคเช่น อีสุกอีใส หัดเยอรมัน
โดยเฉพาะ หญิงตั้งครรภ์ที่ไม่เคยมีภูมิมาก่อน เพราะหากติดเชื้อเหล่านี้จะทำให้เด็กพิการได้ เพราะฉะนั้นหากจะไปไหนในที่ชุมชนควรใส่หน้ากาก และหลีกเลี่ยงการใกล้ชิดคนที่เป็นโรคดังกล่าว
4. ห้าม x-ray
หากตั้งครรภ์พบว่า อายุครรภ์ช่วง 10-17 สัปดาห์ เป็นช่วงที่ระบบประสาทและสมองของทารกในครรภ์ไวต่อรังสี x-ray โดยปริมาณที่ได้รับรังสีเมื่อถ่ายภาพ x-ray ไม่ควรเกิด 5 rad ดังนั้นกรณีจำเป็นต้อง x-ray ควรแจ้งแพทย์และเจ้าหน้าที่เพราะ จะมีเครื่องมือที่ใช้ บังท้อง เพื่อลดการได้รับรังสี อย่างไรก็ตาม ปริมาณรังสีที่ได้รับ เมื่อถ่ายภาพ x-ray ตามอวัยวะต่างๆของร่างกายแตกต่างกัน และส่วนใหญ่ ปริมาณรังสีที่ได้รับต่อครั้ง น้อยกว่า 5 rad
5. ห้ามดื่มกาแฟ เกินขนาด
กาแฟ หรือ caffeine มีฤทธิ์กระตุ้นความดัน และ การเต้นของหัวใจ นอกจากนี้ ยังสามารถผ่านรก เข้าสูทารกในครรภ์ได้ การดื่มกาแฟหรือสารที่มีกาแฟเป็นองค์ประกอบเช่น ชา โคล่า จึงมีข้อจำกัด คือไม่ควรดื่มกาแฟในขนาดที่เกิน 200 มิลลิกรัม ต่อวัน หรือ 1 แก้วขนาด 12 ออนซ์
6. ห้ามโดยสารเครื่องบินในช่วงอายุครรภ์ใกล้คลอด
โดยแต่ละสายการบินจะมีข้อกำหนดต่างกัน ขึ้นกับ ระยะเวลาที่ใช้ในการเดินทาง อายุครรภ์ และโรคประจำตัวของหญิงตั้งครรภ์ยกตัวอย่างเช่น สายการบิน นกแอร์
  • อายุครรภ์ต่ำกว่า 28 สัปดาห์ : สายการบินอนุญาตให้เดินทางได้โดยไม่จำเป็นต้องมีใบรับรองแพทย์
  • อายุครรภ์ตั้งแต่ 28 สัปดาห์ ถึง 36 สัปดาห์ : ผู้โดยสารต้องแสดงใบรับรองแพทย์ที่รับรองว่าสามารถเดินทางโดยเครื่องบินได้
  • อายุครรภ์มากกว่า 36 สัปดาห์ : สายการบินปฏิเสธการให้บริการ
ทั้งนี้ เพราะการเดินทางด้วยเครื่องบินช่วงใกล้คลอด หากเกิดการเจ็บครรภ์คลอด จะมีข้อจำกัดในการดูแลรักษา บนเครื่อง และส่งผลอันตรายต่อคุณแม่และทารกในครรภ์
7. การสัมผัสแมว ต้องระวัง
โดยเฉพาะการทำความสะอาดมูลแมว มูลแมวมีส่วนประกอบของ Toxoplasmosis ซึ่ง เป็นเชื้อปรสิตชนิดหนึ่งที่มีแมวเป็นพาหะนำโรค เชื่อชนิดนี้สามารถผ่านรก และทำให้ทารกในครรภ์ติดเชื้อเกิดโรค Congenital Toxoplasmosis โดยจะมีผลต่อระบบ ประสาท การมอง การได้ยิน ตับม้ามโต ตัวเหลือง หัวโต รกใหญ่
8. ห้ามอบซาวนา แช่ออนเซ็น
หนึ่งในปัจจัยเสี่ยง ของการเกิด neural- tube defect หรือภาวะ หลอดประสาทไม่ปิดของทารกในครรภ์ คือการที่หญิงตั้งครรภ์อยู่ในภาวะ hyperthermia คือภาวะที่มีความร้อนสูง เช่นการแช่น้ำร้อน อบซาวน่า ดังนั้นช่วง3 เดือนแรก ซึ่งเป็นช่วงที่ร่างกายทารกกำลังสร้างหลอดประสาทนี้ หญิงตั้งครรภ์ควรงดการแช่น้ำร้อน อบซาวน่า
9. ห้าม ดื่มนมวัวทุกวัน
นมวัวมีโปรตีน เช่น อัลฟา เบต้า เคซีน เป็นจำนวนมาก ซึ่งสารเหล่านี้จัดเป็นสารแปลกปลอม (antigen) การที่หญิงตั้งครรภ์ ดื่มนมวัวปริมาณมาก จะทำให้ร่างกายเด็กได้รับ antigen เหล่านี้เยอะ จนร่างกายสร้าง antibody มาต่อต้าน โปรตีนจากนมวัว เมื่อเด็กคลอดมา จะมีความเสี่ยงในการเกิดภาวะแพ้นมวัว และผลิตภัณฑ์จากนมวัวดังนั้น ปัจจุบันจึงแนะนำให้หญิงตั้งครรภ์ดื่มนมวัวสลับกันนมถั่วเหลือง เพื่อลดการเกิดปัญหาดังกล่าว
10. ห้ามฉีดวัคซีน ตัวเป็น
วัคซีนตัวเป็น หรือ live vaccine คือ วัคซีนที่ผลิตจากจุลินทรีย์ที่มีชีวิตแต่ทำให้ฤทธิ์อ่อนลงจนไม่ก่อโรคในร่างกายของเรา แต่สามารถกระตุ้นให้สร้างภูมิต้านทานได้ เช่น วัคซีนหัด หัดเยอรมัน คางทูม อีสุกอีใส ไข้เหลือง (Yellow Fever) บีซีจี (ป้องกันวัณโรค) โปลิโอชนิดกิน ดังนั้น หากมีแผนการ จะตั้งครรภ์ ควรวางแผนฉีดวัคซีนเหล่านี้ คือ MMR ( หัด หัดเยอรมัน คางทุม) และวัคซีนอีสุกอีใสก่อน เพราะหากเป็นโรคเหล่านี้ จะส่งผลต่อเด็กในครรภ์พิการได้
ส่วนวัคซีนชนิดตัวตาย ( Inactivated Vaccines) สามารถฉีดได้ตามปกติ เช่น วัคซีนพิษสุนัขบ้า บาดทะยัก ไอกรน ไข้หวัดใหญ่
อ้างอิง
www.aafp.org
(http://americanpregnancy.org/pregnancy-health/caffeine-during-pregnancy/)

โปรแกรมและแพ็คเกจ

ภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมนแต่กำเนิด (Congenital Hypothyroidism :CHT)

ภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมนแต่กำเนิด

(Congenital Hypothyroidism :CHT)

 

 เกิดจากภาวะบกพร่องไทรอยด์ฮอร์โมน และไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ซึ่งมักเรียกว่า “โรคเอ๋อ”  

ความสำคัญ

             การขาดไทรอยด์ฮอร์โมนซึ่งเป็นฮอร์โมนสำคัญ  ซึ่งหลั่งจากต่อมไทรอยด์ โดยเฉพาะเด็กแรกเกิด จะมีผลต่อการเจริญเติบโตทั้งทางร่างกายและเซลล์ของระบบประสาท ดังนั้นภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมน ยังมาส่งผลกระทบต่อการพัฒนาของระบบประสาท การทำงานของระบบต่างๆของร่างกายและการพัฒนาทางร่างกาย อาการแสดงของโรคจะไม่เห็นเมื่อแรกคลอดแต่มักแสดงอาการเด่นชัดขึ้น เมื่ออายุมากกว่า 3 เดือนอาการของโรคเบื้องต้นคือ ทารกจะท้องผูกบ่อย, ตัวเหลืองนาน,สะดือจุ่น,ผิวแห้ง,ร้องไห้
งอแงและหลับบ่อยไม่สดใสร่าเริง ฯลฯ

 สาเหตุ

การเป็นโรคนี้ในเด็กทารกแรกเกิด เป็นเพราะมีความผิดปกติของต่อมฮอร์โมนและการขาดสารไอโอดีนของมารดา ในระยะตั้งครรภ์ ซึ่งภาวะผิดปกตินี้หากเด็กทารกได้รับการรักษา

[ก่อนอายุ 3เดือนเด็กจะมีสติปัญญาปกติ หากได้รับการรักษาช้ากว่านั้น ร้อยละ 80 ของเด็กจะปัญญาอ่อน มีความพิการทางระบบประสาท]

 

อาการแสดง

 

จะสังเกตเห็นทารกได้ในเดือนที่ 3 หลังคลอด โดยในช่วง 3 ขวบแรก จะเป็นช่วงที่สำคัญ

ทางด้านการเจริญเติบโต – เด็กจะเติบโตช้า ดั้งจมูกแบน ขาสั้นมากกว่าอายุจริง
ทางด้านระบบประสาท – เด็กจะมีอาการซึม เชื่องช้า
กล้ามเนื้อ –ด็กจะมีกล้ามเนื้ออ่อนแรง ลิ้นโต ท้องผูก สะดือจุ่น
ระบบหายใจ – เด็กจะเสียงแหบเป็นหวัดบ่อยๆ
หัวใจและหลอดเลือด – เด็กจะตัวเย็นผิวเป็นวงลาย ตัวเขียว หัวใจอาจจะโต
ผิวหนัง – ผิวแห้ง ผมแห้งเปราะ ขนคิ้วบาง ฟันขึ้นช้า
ระบบเลือด – ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็ก, วิตามิน B12 ลดลง
ระบบต่อมไร้ท่อ – ในอนาคตส่งผลต่อความผิดปกติของประจำเดือน เช่น มีระดูมากกว่าปกติ

[ แนวทางในการวินิจฉัยและรักษาอย่าช้าไม่ควรเกินอายุ 2 สัปดาห์ เนื่องจากพัฒนาการของร่างกายและสมองอาจล่าช้ากว่าเด็กทั่วไปและก่อให้เกิดภาวะปัญญาอ่อนได้]

 การวินิจฉัยภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมนแต่กำเนิด

เมื่อเด็กแรกเกิด ทางโรงพยาบาลจะตรวจคัดกรองหาระดับฮอร์โมนไทรอยด์ คือระดับของ TSH ในเบื้องต้น เมื่อพบค่าผิดปกติของระดับ TSH มากกว่าหรือเท่ากับ 25 มิลลิยูนิตต่อลิตร ต้องติดตามเด็กมาเจาะซีรั่มเพื่อตรวจยืนยันระดับ TSH ระดับ T4 หรือ Free T4 ซึ่งเป็นฮอร์โมนไทรอยด์ทั้งหมด ร่วมด้วย หากพบว่ามีความผิดปกติจริง ต้องได้รับการรักษาทันทีปัญหาที่สำคัญคือความผิดปกติเหล่านี้ไม่มี  อาการแสดงให้เห็น จนกว่าเด็กทารกจะมีอายุ 1 เดือนขึ้นไป การป้อง กันที่ดีที่สุดคือ “การเจาะเลือด” หรือ
“คัดกรองสุขภาพทารกแรกเกิด (Neonatal Screening)”โดยทันที

 

การรักษาภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมนแต่กำเนิด

ใช้ฮอร์โมนไทรอยด์ทดแทน (L-thyroxin) ซึ่ง ประหยัด ปลอดภัย และระยะเวลาในการรักษา จะขึ้นอยู่กับความรุนแรงสาเหตุของโรคภายใต้การดูแลของแพทย์

 

[เป็นโรคที่ป้องกันได้ตั้งแต่แรกเกิด รีบพาเด็กมาตรวจเลือดซ้ำที่โรงพยาบาลโทรตาม]

ถ้ารักษาทันเด็กจะไม่มีอาการปัญญาอ่อนหรือประสาทสมองพิการ แต่ถ้า 3 เดือนผ่านไป เด็กยังไม่ได้รับการรักษาอาการของโรคเอ๋อ จะชัดเจนขึ้น คือ เด็กจะมีเสียงแหบ, ลิ้นโต,หน้าบวม, ผมและขนคิ้วบาง, สะดือจุ่น, ผิวเย็นแห้ง, ตัวสั้น มีพัฒนาการช้า

 

ประโยชน์ของ Filler

 

 

 

ฟิลเลอร์ คืออะไร ?
ฟิลเลอร์ (Filler) หรือสารเติมเต็มที่ได้ อย. หรือ FDA ประเทศไทย คือสาร Hyaluronic Acidหรือ HA เป็นโพลีแซคคาไรด์ (Polysaccharide) ที่มีอยู่ในร่างกายอย่างผิวหนังและกระดูกอ่อน เมื่อผสมรวมกับน้ำจะขยายตัวอยู่ในรูปของเนื้อเจลซึ่งเป็นสารประกอบของคอลลาเจนที่มีอยู่แล้วในผิวหนัง คอลลาเจนนั้นเป็นโปรตีนสำคัญและเป็นส่วนประกอบหลักของผิวหนัง

ทำไมต้องเติมฟิลเลอร์ ?
คอลลาเจนเป็นส่วนที่เปรียบได้กับสปริงของผิวหนัง ช่วยสร้างความตึงให้กับผิวหนังชั้นหนังแท้ คอลลาเจนโปรตีนจะเสื่อมสภาพลงเมื่ออายุมากขึ้น พอสปริงไม่เด้งเหมือนเก่า ผิวหนังจึงยุบตัวลง เกิดเป็นริ้วรอย ร่องลึก ผิวหย่อนคล้อย และความชุ่มชื่นของผิวลดลง

เติมฟิลเลอร์แล้วมีผลอย่างไรบ้าง ?
การเติมฟิลเลอร์นั้นมีจุดประสงค์ในการเติมเต็มและปรับรูปหน้าได้หลายตำแหน่ง เช่น ปรับขนาดโหนกแก้มให้ใบหน้ามีมิติ ลดร่องแก้ม (Nasolabial Fold)ลดร่องใต้ตา(Tear trough)ลดริ้วรอยบริเวณแก้ม-ริมฝีปาก รอยเหี่ยวย่นหลังมือ ขมับบุ๋ม เติมคางให้ยาวขึ้น ดู V-shape ฉีดปรับรูปหน้าให้ดูเล็กลง ได้สัดส่วนที่ดีขึ้น ทำกรอบหน้าให้ชัดขึ้น ปรับหน้าที่แบนให้ดูมีมิติแสงเงา ง่ายต่อการแต่งหน้า และโหงวเห้งดีขึ้น

 

การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์

  1. ควรดื่มน้ำให้มากๆ เพราะจะช่วยให้ฟิลเลอร์คงสภาพได้นานขึ้น
  2. ไม่ควรใช้เครื่องสำอางเป็นเวลา 4 ชั่วโมงหลังการฉีด
  3. ไม่ควรออกกำลังกายใบหน้าในช่วง 48 ชั่วโมงแรกหลังการฉีด
  4. ไม่ควรถูหรือขัดหน้าแรงๆ บริเวณที่ฉีด
  5. ไม่ควรให้ใบหน้าสัมผัสกับความร้อนจัด เช่น การซาวน่า นวดหน้า ทำเลเซอร์ อย่างน้อย 2 สัปดาห์

 

สอบถามเพิ่มเติม : แผนกผิวหนังและเลเซอร์ 02-587-0144 ต่อ 2302

ประโยชน์ของ Botox

 

 

โบท็อกซ์ คืออะไร ?
โบท็อกซ์ (Botox) เป็นชื่อทางการค้าเนื่องจากเจ้าแรกที่ผลิตใช้ชื่อสินค้าว่า Botox แต่จริงๆแล้วคือตัวยาที่ชื่อว่า Botulinum Toxin type A ซึ่งเป็นโปรตีน ชนิดหนึ่ง ที่สร้างจาก แบคทีเรีย ชื่อ คลอสตริเดียม โบทูลินั่ม (Clostridium botulinum) ออกฤทธิ์โดยการไปจับกับส่วนปลายของเซลล์ประสาท ทำให้เซลล์ประสาท ไม่สามารถหลั่งสารสื่อประสาทได้ กล้ามเนื้อจึงคลายตัว โดยจะเริ่มออกฤทธิ์ภายใน 2-3 วัน และเห็นผลสูงสุดในเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ ยกเว้นกรามจะเห็นผลได้ชัดสุดในเวลา 1-2 เดือน

 

  • ประโยชน์และการนำมาใช้ ในทางการแพทย์แล้วสาร Botulinum Toxin มีคุณสมบัติในการคลายกล้ามเนื้อ จึงถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคหรือผู้ที่มีความผิดปกติของร่างกายได้หลายอย่าง เช่น ใช้ฉีดเพื่อรักษาผู้ที่มีอาการตาเหล่  ตาเข หรือตากระตุก  อาการโรคกล้ามเนื้อบิดเกร็ง  อาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่  รวมถึงอาการปวดศีรษะจากโรคไมเกรนเรื้อรังก็สามารถใช้โบท็อกซ์รักษาได้เช่นกัน   นอกจากนี้ยังมีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการนำสาร Botulinum Toxin มาใช้กับผู้ที่มีอาการของโรคลิ้นหัวใจพิการอีกด้วย

 

  • ลดเลือนริ้วรอยบนผิวหน้า อย่างที่กล่าวไปในข้างต้นแล้วว่าโบท็อกซ์นั้นนิยมนำมาใช้ฉีดเพื่อคลายกล้ามเนื้อที่หดเกร็งบนใบหน้า จากการแสดงสีหน้าอารมณ์ต่างๆที่ทำให้เกิดริ้วรอย ทำให้ริ้วรอยลดเลือนลง ผิวกลับมาเรียบตึงอีก  เช่น  ริ้วรอยบริเวณหน้าผาก  หางตา  หว่างคิ้ว รอยย่นจมูก คอ เป็นต้น  โดยแพทย์จะฉีดโบท็อกซ์ในปริมาณที่เหมาะสมในบริเวณที่ต้องการ  จากนั้นโบท็อกซ์จะทำปฏิกิริยากับกล้ามเนื้อและ จะเริ่มเห็นผลได้ภายใน 2-3 วัน และผลจะยิ่งเด่นชัดมากขึ้นเมื่อ 7-14 วันผ่านไป

 

  • แก้ไขรูปหน้าให้เรียว V-Shape ด้วยคุณสมบัติของโบท็อกซ์ จึงสามารถแก้ไขโครงสร้างใบหน้าที่แลดูเหลี่ยม อันเกิดจากกล้ามเนื้อที่อาจใหญ่อยู่เดิมหรือจากพฤติกรรมบางอย่างที่ไปกระตุ้นให้กล้ามเนื้อบริเวณนี้ใหญ่ขึ้น  เช่น  การนอนกัดฟัน  การเคี้ยวอาหารที่เหนียวบ่อยครั้งโบท๊อกซ์ที่ฉีดเข้าไปบริเวณดังกล่าวจะช่วยลดขนาดกล้ามเนื้อในบริเวณที่ฉีดให้เล็กลง  รูปหน้าที่ใหญ่และเป็นเหลี่ยมจะค่อยๆ เรียวเล็กลง  โครงหน้าได้รูป  V-shape

 

  • Lifting ช่วยยกกระชับ จัดรูปกรอบหน้า และลำตัวให้ชัดขึ้น

 

  • ปรับขนาดของน่องให้เรียวเล็ก สำหรับคุณผู้หญิงที่มีน่องใหญ่ สาเหตุเกิดจากกล้ามเนื้อ Medial Gastrocnemius  (กล้ามเนื้อบริเวณน่อง)  มีขนาดใหญ่อยู่เดิม เกิดจากการใช้งานกล้ามเนื้อบริเวณนั้นๆมาก Botox จะช่วยลดขนาดกล้ามเนื้อให้เล็กลง น่องดูเรียวขึ้น

 

  • แก้ปัญหากลิ่นรักแร้เหงื่อออกมาก กลิ่นเกิดจากเหงื่อที่รูขุมขนบริเวณรักแร้ขับออกมา เมื่อเกิดการหมักหมมและผสมรวมกับแบคทีเรียที่อยู่รอบตัวเรา  จึงทำให้เกิดกลิ่นฉุน  บั่นทอนบุคลิกภาพของเราให้ลดลงไปโบท็อกซ์ที่ฉีดเข้าไปที่รักแร้จะออกฤทธิ์ยับยั้งสารสื่อประสาท Acetylcholine ที่กระตุ้นการหลั่งของเหงื่อ  ช่วยลดการขับเหงื่อจากรักแร้ได้กว่า 80% เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้ฉีดโบท็อกซ์  ทั้งยังช่วยให้รูขุมขนบริเวณรักแร้เล็กลง  ผิวเรียบเนียนขึ้นได้

 

  •  รักษาอาการ Office Syndrome การนั่งทำงานการนั่งหน้าคอมพิวเตอร์หรือการแบกกระเป๋าหนักๆ ทำให้ปวดสะบัก การฉีด Botox จะช่วยให้หายปวด ไหล่และบ่าดูระหงษ์ขึ้น อยู่ได้นาน 6-8 เดือน ไม่ต้องทนอาการปวดอีกไม่ต้องเสียเวลาและเงินไปกับการนวดบ่อยๆ เป็นการแก้ไขจากที่ต้นเหตุ

 

การปฏิบัติตัวหลังการฉีด Botulinum Toxin Type A และ Type B

  • สามารถใช้น้ำแข็งประคบในกรณีที่มีอาการบวมแดงหรือช้ำได้
  • ผู้ป่วยจะเริ่มเห็นผลการรักษาใน 2-7 วัน และเห็นผลการรักษาสูงสุดในสองสัปดาห์
  • ห้ามนอนราบ 4 ชั่วโมงหลังการฉีด
  • งดทำหน้านวดหน้าเป็นเวลา 2 สัปดาห์
  • งดออกกำลังกายหนักๆ งดการโดนความร้อนจัด เช่น การแช่บ่อน้ำร้อน,โยคะร้อน สามารถอาบน้ำและล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นได้
  • งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอลฮอลล์ อย่างน้อย 24 ชั่วโมง
  • กลับมาพบแพทย์เมื่อมีข้อสงสัยหรือสิ่งผิดปกติใดๆ

 

สอบถามเพิ่มเติม :
คลินิกผิวหนังและคอสเมติก ชั้น 3 อาคาร 2 โรงพยาบาลบางโพ
02-587-0144 ต่อ 2302